ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ระบุภาวะเศรษฐกิจเดือน ต.ค.50 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจเดือน ต.ค.50 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 2%
ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นครั้งแรกในรอบปี หลังจากหดตัวมาตั้งแต่ต้นปี โดยการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้น 18.9% การจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัว
สูงถึง 16.4% ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 12.2% แต่ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลงมาอยู่ที่ 50.5 จากเดือนก่อนที่ระดับ
51.4 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ขณะที่การอุปโภค-บริโภคภาคเอกชนขยายตัว 2.6% ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจเดือน ต.ค.
ขยายตัวดีขึ้น ยังเป็นผลมาจากการส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 27.9% ส่วนเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอยู่ที่ 2.5% เนื่องจากราคาน้ำมัน
ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่ง ธปท.ยอมรับว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและการลอยตัวก๊าซหุงต้ม ทำให้การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใน
วันที่ 4 ธ.ค.นี้ จะต้องมีการทบทวนสมมติฐานราคาพลังงานใหม่ สำหรับผลกระทบจากราคาน้ำมันยังไม่รุนแรงมากนัก(ข่าวสด 1, กรุงเทพธุรกิจ 1)
2. ภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายเดือน ก.ย.50 มีเงินทุนไหลเข้า 2.8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เผยแพร่ข้อมูลภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายล่าสุดเดือน ก.ย.50 ว่า เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าสุทธิ 2,788 ล.ดอลลาร์ สรอ. หลังจาก
ที่มีเงินทุนไหลออกสุทธิ 45 ล.ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อนหน้า โดยเงินทุนไหลเข้าส่วนใหญ่มาจากภาคธนาคาร จากการที่ลดสินทรัพย์ต่างประเทศ
ในรูปเงินฝาก และจากธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารในรูปเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า แม้มาตรการกันสำรอง 30% จะออก
บังคับใช้มาตั้งแต่ปลายปี 49 แต่ผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง (มติชน)
3. ธปท.ระบุการแก้ปัญหาความยากจนที่ยั่งยืนคือการสร้างงานและการพัฒนาคุณภาพการศึกษา นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้บริหารส่วน
ส่วนเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทำบทความเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ธปท. เรื่อง “ความยากจน
ประชานิยม กับเศรษฐกิจไทย” โดยระบุว่า ความยากจนเป็นปัญหาที่เกาะกินสังคงไทยมานาน โดย 20 ปีที่แล้วคนที่มีรายได้ไม่พอต่อการยังชีพ
พื้นฐานมีประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด แม้เศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 31 จนถึงก่อนวิกฤตปี 40 ทำให้จำนวนคนยากจนลดลง
ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ปี 49 คนจนที่มีรายได้ต่ำกว่า
1,386 บาท/เดือน มีถึงร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ สำหรับประเด็นสำคัญที่ควรกระตุ้นให้รัฐบาลดำเนินการ คือ ไม่ใช้นโยบาย
ประชานิยมจนเงินหมด ซึ่งแม้หนี้สาธารณะขณะนี้จะไม่สูงมาก แต่ควรคำนึงถึงความสามารถในการหาเงินด้วย ส่วนการแก้ความยากจนที่ดีที่สุดคือ
การสร้างงาน และการทำให้ประชาชนคิดเป็นผ่านการศึกษาที่มีประสิทธิผลจะเป็นการแก้ความยากจนที่ยั่งยืนที่สุด (โลกวันนี้, คมชัดลึก)
4. ก.คลังขออนุมัติ ครม.ขายหุ้นเพื่อนำมาเพิ่มทุนให้กับ ธ.ทหารไทย แหล่งข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 4 ธ.ค.50
ก.คลังจะเสนอ ครม. เพื่อขอขายหุ้นรัฐวิสาหกิจและหุ้นที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจบางส่วนจำนวน 6 ตัว เพื่อให้ได้เงิน 7,800 ล.บาท มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ซึ่งจะต้องจ่ายเงินค่าหุ้นภายในสิ้นเดือนนี้ โดยหุ้นที่จะขายประกอบด้วย หุ้นของ ธ.กรุงเทพ,
ธ.ไทยพาณิชย์, บริษัท การบินไทย, บริษัท ปตท., บริษัท อสมท. และบริษัทผาแดงอินดัสทรีส์ โดยจะขายหุ้นดังกล่าวให้กับ ธ.ออมสินแบบขายขาด
ไม่มีเงื่อนไขซื้อคืน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 43 จนถึงการเพิ่มทุนครั้งนี้ คลังนำเงินเข้า
ช่วยพยุงฐานะ ธ.ทหารไทย จำนวน 30,000 ล.บาท และยังไม่ได้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลเลย นอกจากนี้ เงินเพิ่มทุนที่ได้ครั้งนี้ ส่วนใหญ่
นำไปสำรองหนี้ถึง 25,000 ล.บาท ทำให้สิ้นปีนี้ธนาคารจะขาดทุนสะสม 100,000 ล.บาท ซึ่งธนาคารมีแผนจะลดทุนหลังปี 2552 เพื่อล้าง
การขาดทุนสะสม ซึ่งเป็นปีที่หุ้นบุริมสิทธิที่ ก.คลังถืออยู่ครบ 10 ปี (โลกวันนี้)
5. สมาคมธนาคารไทยเตือนการทุจริตข้อมูลบัตรเครดิตรูปแบบใหม่ เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพ
แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ธพ. หรือหน่วยงานต่างๆ โทรศัพท์ไปหลอกลวงลูกค้าธนาคารให้หลงเชื่อเพื่อสอบถามข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัญชีเงินฝาก หรือ
ข้อมูลบัตรเครดิต จากนั้นให้ลูกค้าไปทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม เพื่อโอนเงินไปยังปลายทาง หรือทำธุรกรรมอื่นๆ เพื่อลักลอบข้อมูลบัตรเอทีเอ็ม
ทำให้มีผู้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งสมาคมฯ ยืนยันว่า ธพ.ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการดังกล่าว จึงขอให้ลูกค้าและประชาชน
ทั่วไปอย่าหลงเชื่อและอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวแก่ผู้ที่สอบถาม ทั้งนี้ หากพบพฤติกรรมที่กล่าว ขอให้จดหมายเลขโทรศัพท์และแจ้งไปยังธนาคารที่มีบัญชี
เงินฝากโดยด่วน หรือสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สมาคมธนาคารไทย หมายเลขโทรศัพท์ 0-2264-0883-86 (กรุงเทพธุรกิจ 1)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อของ Euro zone ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ต่อปีสูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง รายงานจากบรัสเซลส์
เมื่อ 30 พ.ย.50 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปประมาณการว่าอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ต่อเดือน
และร้อยละ 3.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง นับตั้งแต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ในเดือน พ.ค.44 และสูงกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 2.9 ต่อปี โดยเป็นผลจากราคาอาหารและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น สร้างความลำบากใจให้ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ที่ต้องการรักษาระดับ
อัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี ในขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง สอดคล้องกับผลสำรวจความเห็นของภาคธุรกิจ
และผู้บริโภคประจำเดือน พ.ย.50 โดยคณะกรรมาธิการยุโรปที่ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว ในขณะที่ดัชนีชี้วัด
ความเชื่อมั่นในเดือนเดียวกันลดลงมากกว่าที่คาดไว้มาอยู่ที่ระดับ 104.8 จากระดับ 106.0 ในเดือน ต.ค.50 และลดลงมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์
คาดไว้ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 105.0 นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จึงคาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปีไปจนถึง
ปลายปีหน้าซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจในปีหน้าชะลอตัวลง ทั้งนี้ Eurostat มีกำหนดจะเปิดเผยรายละเอียด
เกี่ยวกับประมาณการอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวในวันที่ 14 ธ.ค.50 นี้ (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอังกฤษในเดือน พ.ย.50 ลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันมาอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.46
รายงานจากลอนดอน เมื่อ 30 พ.ย.50 ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอังกฤษจากผลสำรวจของสำนักวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ GfK ลดลงเป็น
เดือนที่ 5 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ -10 ในเดือน พ.ย.50 จากระดับ -8 ในเดือนก่อน ลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ
-9 และอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มเกิดสงครามอิรักในเดือน มี.ค.46 ทั้งนี้ เป็นผลจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากราคาอาหารและราคาน้ำมันซึ่ง
สูงขึ้นเกินลิตรละ 1 ปอนด์แล้ว ในขณะที่ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นจากวิกฤติสินเชื่อในตลาดการเงิน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบ
ต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งต่อเศรษฐกิจโดยรวมและฐานะการเงินส่วนบุคคล (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน รายงานจากโตเกียว เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 50 ทางการญี่ปุ่น
เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (core CPI) ซึ่งแสดงภาวะเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นอย่างผิดคาดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ปีที่แล้วร้อยละ 0.1 และเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน แต่การเพิ่มขึ้นของ core CPI ดังกล่าวก็ไม่ได้สนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธ.กลางญี่ปุ่น
จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจอื่นๆ ทำให้ไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะสดใส โดยจำนวนการจ้างงานลดลงอยู่ใน
ระดับต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี เช่นเดียวกับยอดการสร้างบ้านใหม่ที่ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน นอกจากนั้นนาย Seiji Adachi
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Deutsche Securities ให้ความเห็นว่าการสูงขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บรรดา
ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ไม่อาจจะผลักภาระต้นทุนไปสู่ผู้บริโภคได้ ขณะที่ตลาดการเงินได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติสินเชื่อ
อสังหาริมทรัพย์ของ สรอ. ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ซึ่งนาย Toshihiko Fukui ผวก. ธ.กลางญี่ปุ่นได้กล่าวกับบรรดานาย ธพ. ญี่ปุ่นว่า
ปัญหาวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพของ สรอ. ได้ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินของญี่ปุ่นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้แต่แรก แต่กระทบต่อ
เสถียรภาพระบบการเงินของญี่ปุ่นไม่มากนัก ขณะที่บรรดานักลงทุนต่างคาดการณ์กันว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะยังไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนกว่า
จะถึงปีหน้า (รอยเตอร์)
4. อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในไตรมาส 3 ปี 50 ขยายตัวร้อยละ 1.3 เทียบต่อไตรมาส ลดลงจากประมาณการ
เบื้องต้น รายงานจากโซล เมื่อ 3 ธ.ค.50 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในไตรมาส 3 ปี 50
ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.3 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ลดลงจากที่ประมาณการเบื้องต้นก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 และต่ำกว่าไตรมาส 2
ปี 50 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.8 แต่ขยายตัวมากกว่าไตรมาสแรกปี 50 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.9 และหากเทียบต่อปีแล้ว ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี)
ของเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 5.2 ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ประมาณการเบื้องต้นก่อนหน้านี้ และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 และไตรมาส 1 ปี 50 ที่
ขยายตัวร้อยละ 5.0 และ 4.0 ตามลำดับ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3 ธ.ค. 50 30 พ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.852 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6359/33.9750 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39328 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 846.44/20.05 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,600/12,700 12,750/12,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 84.87 92.64 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 32.89*/29.34* 32.89*/29.34* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ระบุภาวะเศรษฐกิจเดือน ต.ค.50 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจเดือน ต.ค.50 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 2%
ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นครั้งแรกในรอบปี หลังจากหดตัวมาตั้งแต่ต้นปี โดยการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้น 18.9% การจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัว
สูงถึง 16.4% ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 12.2% แต่ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลงมาอยู่ที่ 50.5 จากเดือนก่อนที่ระดับ
51.4 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ขณะที่การอุปโภค-บริโภคภาคเอกชนขยายตัว 2.6% ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจเดือน ต.ค.
ขยายตัวดีขึ้น ยังเป็นผลมาจากการส่งออกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 27.9% ส่วนเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอยู่ที่ 2.5% เนื่องจากราคาน้ำมัน
ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่ง ธปท.ยอมรับว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและการลอยตัวก๊าซหุงต้ม ทำให้การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใน
วันที่ 4 ธ.ค.นี้ จะต้องมีการทบทวนสมมติฐานราคาพลังงานใหม่ สำหรับผลกระทบจากราคาน้ำมันยังไม่รุนแรงมากนัก(ข่าวสด 1, กรุงเทพธุรกิจ 1)
2. ภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายเดือน ก.ย.50 มีเงินทุนไหลเข้า 2.8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เผยแพร่ข้อมูลภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายล่าสุดเดือน ก.ย.50 ว่า เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าสุทธิ 2,788 ล.ดอลลาร์ สรอ. หลังจาก
ที่มีเงินทุนไหลออกสุทธิ 45 ล.ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อนหน้า โดยเงินทุนไหลเข้าส่วนใหญ่มาจากภาคธนาคาร จากการที่ลดสินทรัพย์ต่างประเทศ
ในรูปเงินฝาก และจากธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารในรูปเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า แม้มาตรการกันสำรอง 30% จะออก
บังคับใช้มาตั้งแต่ปลายปี 49 แต่ผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง (มติชน)
3. ธปท.ระบุการแก้ปัญหาความยากจนที่ยั่งยืนคือการสร้างงานและการพัฒนาคุณภาพการศึกษา นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้บริหารส่วน
ส่วนเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทำบทความเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ธปท. เรื่อง “ความยากจน
ประชานิยม กับเศรษฐกิจไทย” โดยระบุว่า ความยากจนเป็นปัญหาที่เกาะกินสังคงไทยมานาน โดย 20 ปีที่แล้วคนที่มีรายได้ไม่พอต่อการยังชีพ
พื้นฐานมีประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด แม้เศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 31 จนถึงก่อนวิกฤตปี 40 ทำให้จำนวนคนยากจนลดลง
ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ปี 49 คนจนที่มีรายได้ต่ำกว่า
1,386 บาท/เดือน มีถึงร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ สำหรับประเด็นสำคัญที่ควรกระตุ้นให้รัฐบาลดำเนินการ คือ ไม่ใช้นโยบาย
ประชานิยมจนเงินหมด ซึ่งแม้หนี้สาธารณะขณะนี้จะไม่สูงมาก แต่ควรคำนึงถึงความสามารถในการหาเงินด้วย ส่วนการแก้ความยากจนที่ดีที่สุดคือ
การสร้างงาน และการทำให้ประชาชนคิดเป็นผ่านการศึกษาที่มีประสิทธิผลจะเป็นการแก้ความยากจนที่ยั่งยืนที่สุด (โลกวันนี้, คมชัดลึก)
4. ก.คลังขออนุมัติ ครม.ขายหุ้นเพื่อนำมาเพิ่มทุนให้กับ ธ.ทหารไทย แหล่งข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 4 ธ.ค.50
ก.คลังจะเสนอ ครม. เพื่อขอขายหุ้นรัฐวิสาหกิจและหุ้นที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจบางส่วนจำนวน 6 ตัว เพื่อให้ได้เงิน 7,800 ล.บาท มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ซึ่งจะต้องจ่ายเงินค่าหุ้นภายในสิ้นเดือนนี้ โดยหุ้นที่จะขายประกอบด้วย หุ้นของ ธ.กรุงเทพ,
ธ.ไทยพาณิชย์, บริษัท การบินไทย, บริษัท ปตท., บริษัท อสมท. และบริษัทผาแดงอินดัสทรีส์ โดยจะขายหุ้นดังกล่าวให้กับ ธ.ออมสินแบบขายขาด
ไม่มีเงื่อนไขซื้อคืน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 43 จนถึงการเพิ่มทุนครั้งนี้ คลังนำเงินเข้า
ช่วยพยุงฐานะ ธ.ทหารไทย จำนวน 30,000 ล.บาท และยังไม่ได้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลเลย นอกจากนี้ เงินเพิ่มทุนที่ได้ครั้งนี้ ส่วนใหญ่
นำไปสำรองหนี้ถึง 25,000 ล.บาท ทำให้สิ้นปีนี้ธนาคารจะขาดทุนสะสม 100,000 ล.บาท ซึ่งธนาคารมีแผนจะลดทุนหลังปี 2552 เพื่อล้าง
การขาดทุนสะสม ซึ่งเป็นปีที่หุ้นบุริมสิทธิที่ ก.คลังถืออยู่ครบ 10 ปี (โลกวันนี้)
5. สมาคมธนาคารไทยเตือนการทุจริตข้อมูลบัตรเครดิตรูปแบบใหม่ เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพ
แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ธพ. หรือหน่วยงานต่างๆ โทรศัพท์ไปหลอกลวงลูกค้าธนาคารให้หลงเชื่อเพื่อสอบถามข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัญชีเงินฝาก หรือ
ข้อมูลบัตรเครดิต จากนั้นให้ลูกค้าไปทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม เพื่อโอนเงินไปยังปลายทาง หรือทำธุรกรรมอื่นๆ เพื่อลักลอบข้อมูลบัตรเอทีเอ็ม
ทำให้มีผู้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งสมาคมฯ ยืนยันว่า ธพ.ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการดังกล่าว จึงขอให้ลูกค้าและประชาชน
ทั่วไปอย่าหลงเชื่อและอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวแก่ผู้ที่สอบถาม ทั้งนี้ หากพบพฤติกรรมที่กล่าว ขอให้จดหมายเลขโทรศัพท์และแจ้งไปยังธนาคารที่มีบัญชี
เงินฝากโดยด่วน หรือสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สมาคมธนาคารไทย หมายเลขโทรศัพท์ 0-2264-0883-86 (กรุงเทพธุรกิจ 1)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราเงินเฟ้อของ Euro zone ในเดือน พ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ต่อปีสูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง รายงานจากบรัสเซลส์
เมื่อ 30 พ.ย.50 Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปประมาณการว่าอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ต่อเดือน
และร้อยละ 3.0 ต่อปี สูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง นับตั้งแต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ในเดือน พ.ค.44 และสูงกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 2.9 ต่อปี โดยเป็นผลจากราคาอาหารและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น สร้างความลำบากใจให้ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ที่ต้องการรักษาระดับ
อัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี ในขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลง สอดคล้องกับผลสำรวจความเห็นของภาคธุรกิจ
และผู้บริโภคประจำเดือน พ.ย.50 โดยคณะกรรมาธิการยุโรปที่ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว ในขณะที่ดัชนีชี้วัด
ความเชื่อมั่นในเดือนเดียวกันลดลงมากกว่าที่คาดไว้มาอยู่ที่ระดับ 104.8 จากระดับ 106.0 ในเดือน ต.ค.50 และลดลงมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์
คาดไว้ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 105.0 นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จึงคาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.0 ต่อปีไปจนถึง
ปลายปีหน้าซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจในปีหน้าชะลอตัวลง ทั้งนี้ Eurostat มีกำหนดจะเปิดเผยรายละเอียด
เกี่ยวกับประมาณการอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวในวันที่ 14 ธ.ค.50 นี้ (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอังกฤษในเดือน พ.ย.50 ลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันมาอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.46
รายงานจากลอนดอน เมื่อ 30 พ.ย.50 ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอังกฤษจากผลสำรวจของสำนักวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำ GfK ลดลงเป็น
เดือนที่ 5 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ -10 ในเดือน พ.ย.50 จากระดับ -8 ในเดือนก่อน ลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ
-9 และอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มเกิดสงครามอิรักในเดือน มี.ค.46 ทั้งนี้ เป็นผลจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากราคาอาหารและราคาน้ำมันซึ่ง
สูงขึ้นเกินลิตรละ 1 ปอนด์แล้ว ในขณะที่ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นจากวิกฤติสินเชื่อในตลาดการเงิน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบ
ต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งต่อเศรษฐกิจโดยรวมและฐานะการเงินส่วนบุคคล (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน รายงานจากโตเกียว เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 50 ทางการญี่ปุ่น
เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (core CPI) ซึ่งแสดงภาวะเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นอย่างผิดคาดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ปีที่แล้วร้อยละ 0.1 และเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน แต่การเพิ่มขึ้นของ core CPI ดังกล่าวก็ไม่ได้สนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธ.กลางญี่ปุ่น
จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจอื่นๆ ทำให้ไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะสดใส โดยจำนวนการจ้างงานลดลงอยู่ใน
ระดับต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี เช่นเดียวกับยอดการสร้างบ้านใหม่ที่ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน นอกจากนั้นนาย Seiji Adachi
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Deutsche Securities ให้ความเห็นว่าการสูงขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บรรดา
ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ไม่อาจจะผลักภาระต้นทุนไปสู่ผู้บริโภคได้ ขณะที่ตลาดการเงินได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤติสินเชื่อ
อสังหาริมทรัพย์ของ สรอ. ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ซึ่งนาย Toshihiko Fukui ผวก. ธ.กลางญี่ปุ่นได้กล่าวกับบรรดานาย ธพ. ญี่ปุ่นว่า
ปัญหาวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพของ สรอ. ได้ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินของญี่ปุ่นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้แต่แรก แต่กระทบต่อ
เสถียรภาพระบบการเงินของญี่ปุ่นไม่มากนัก ขณะที่บรรดานักลงทุนต่างคาดการณ์กันว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะยังไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนกว่า
จะถึงปีหน้า (รอยเตอร์)
4. อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในไตรมาส 3 ปี 50 ขยายตัวร้อยละ 1.3 เทียบต่อไตรมาส ลดลงจากประมาณการ
เบื้องต้น รายงานจากโซล เมื่อ 3 ธ.ค.50 ธ.กลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในไตรมาส 3 ปี 50
ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.3 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ลดลงจากที่ประมาณการเบื้องต้นก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 และต่ำกว่าไตรมาส 2
ปี 50 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.8 แต่ขยายตัวมากกว่าไตรมาสแรกปี 50 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.9 และหากเทียบต่อปีแล้ว ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี)
ของเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 5.2 ไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ประมาณการเบื้องต้นก่อนหน้านี้ และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 และไตรมาส 1 ปี 50 ที่
ขยายตัวร้อยละ 5.0 และ 4.0 ตามลำดับ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 3 ธ.ค. 50 30 พ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.852 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.6359/33.9750 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39328 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 846.44/20.05 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 12,600/12,700 12,750/12,850 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 84.87 92.64 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 32.89*/29.34* 32.89*/29.34* 26.49/23.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มเมื่อ 23 พ.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--