แท็ก
ธนาคารพาณิชย์
นางฤชุกร สิริโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2550 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์โดยรวมอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ ถึงแม้ จะเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจการเงินที่มากขึ้นโดยเฉพาะจากต่างประเทศ แต่เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่สามารถปรับตัวได้ค่อนข้างดี โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 1.58 แสนล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายด้านการกันสำรองและภาษีแล้ว มีกำไรสุทธิ 2.5 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปี 2549 ทั้งนี้ระบบธนาคารพาณิชย์มีการกันสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ตามมาตรฐานบัญชีระหว่างประเทศ (International Accounting Standard - IAS 39)
ในส่วนของสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 4.6 ชะลอลงจากร้อยละ 5.9 ณ สิ้นปี 2549 จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลง อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเริ่มมีสัญญาณเร่งตัวดีขึ้น ในไตรมาสที่ 4 ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของธุรกิจและการบริโภค โดยสินเชื่อ ภาคธุรกิจซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 76.5 ของสินเชื่อรวมขยายตัวร้อยละ 1.5 ชะลอลงจากปี 2549 ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.5 ของสินเชื่อรวมขยายตัวที่ร้อยละ 16.0 ชะลอลงจากปี 2549 จากที่ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น
เงินรับฝากขยายตัวร้อยละ 0.5 ชะลอลงมากจากปี 2549 ที่เท่ากับร้อยละ 6.0 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง ผู้ฝากเงินหันไปเลือกรูปแบบการออมอื่น ๆ แทน เช่น กองทุนรวม พันธบัตร ออมทรัพย์ และตั๋วแลกเงิน แต่ถึงกระนั้น สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ก็ยังอยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของธนาคารพาณิชย์สิ้นปีอยู่ที่ร้อยละ 92.8
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้รวม (gross NPL) มียอดคงค้าง 4.53 แสนล้านบาท โดยมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมลดลงเล็กน้อย จากร้อยละ 7.5 ณ สิ้นปี 2549 เป็นร้อยละ 7.3 และสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (หลังหักสำรองหนี้เสีย) ต่อสินเชื่อรวมลดลง จากร้อยละ 4.1 เป็นร้อยละ 3.9
สินเชื่อภาคธุรกิจมียอด NPL เพิ่มขึ้น 1.7 หมื่นล้านบาทจากสิ้นปีก่อน โดยมีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อภาคธุรกิจ เป็นร้อยละ 8.2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.1 ในขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคมียอด NPL ลดลง 4 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่ออุปโภคบริโภคลดลงเล็กน้อย จากร้อยละ 4.8 เหลือร้อยละ 4.0 จากการลดลงของ NPL ของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก
แม้จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการของธุรกิจที่ชะลอลง แต่ระบบธนาคารพาณิชย์มีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีขึ้น ประกอบกับธนาคารพาณิชย์บางแห่งมีการเพิ่มทุนรวม 9.5 หมื่นล้านบาท ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.0 สูงกว่าร้อยละ 8.5 ที่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำทางกฎหมาย ซึ่งจะสามารถสนับสนุนการขยายธุรกิจ ในระยะต่อไปได้ดี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ในส่วนของสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 4.6 ชะลอลงจากร้อยละ 5.9 ณ สิ้นปี 2549 จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลง อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเริ่มมีสัญญาณเร่งตัวดีขึ้น ในไตรมาสที่ 4 ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของธุรกิจและการบริโภค โดยสินเชื่อ ภาคธุรกิจซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 76.5 ของสินเชื่อรวมขยายตัวร้อยละ 1.5 ชะลอลงจากปี 2549 ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.5 ของสินเชื่อรวมขยายตัวที่ร้อยละ 16.0 ชะลอลงจากปี 2549 จากที่ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น
เงินรับฝากขยายตัวร้อยละ 0.5 ชะลอลงมากจากปี 2549 ที่เท่ากับร้อยละ 6.0 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง ผู้ฝากเงินหันไปเลือกรูปแบบการออมอื่น ๆ แทน เช่น กองทุนรวม พันธบัตร ออมทรัพย์ และตั๋วแลกเงิน แต่ถึงกระนั้น สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ก็ยังอยู่ในระดับสูง โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของธนาคารพาณิชย์สิ้นปีอยู่ที่ร้อยละ 92.8
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้รวม (gross NPL) มียอดคงค้าง 4.53 แสนล้านบาท โดยมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมลดลงเล็กน้อย จากร้อยละ 7.5 ณ สิ้นปี 2549 เป็นร้อยละ 7.3 และสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (หลังหักสำรองหนี้เสีย) ต่อสินเชื่อรวมลดลง จากร้อยละ 4.1 เป็นร้อยละ 3.9
สินเชื่อภาคธุรกิจมียอด NPL เพิ่มขึ้น 1.7 หมื่นล้านบาทจากสิ้นปีก่อน โดยมีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อภาคธุรกิจ เป็นร้อยละ 8.2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.1 ในขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคมียอด NPL ลดลง 4 พันล้านบาท โดยมีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่ออุปโภคบริโภคลดลงเล็กน้อย จากร้อยละ 4.8 เหลือร้อยละ 4.0 จากการลดลงของ NPL ของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก
แม้จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการของธุรกิจที่ชะลอลง แต่ระบบธนาคารพาณิชย์มีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีขึ้น ประกอบกับธนาคารพาณิชย์บางแห่งมีการเพิ่มทุนรวม 9.5 หมื่นล้านบาท ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.0 สูงกว่าร้อยละ 8.5 ที่เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำทางกฎหมาย ซึ่งจะสามารถสนับสนุนการขยายธุรกิจ ในระยะต่อไปได้ดี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--