ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. คาดว่าการทำธุรกรรมชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ปีนี้จะเพิ่มมากขึ้น ธปท. รายงานการคาดการณ์แนวโน้มปริมาณและมูลค่า
ธุรกรรมการชำระเงินผ่านระบบการชำระเงินของ ธปท. ในปีนี้ว่า มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ประกอบกับ ธปท. มีแผนงานสนับสนุนการลดปริมาณการใช้เงินสดในมือประชาชนลงด้วย ทำให้ทิศทางการชำระเงินน่าจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยจะมี
มาตรการจูงใจให้ลูกค้าทั้งระดับผู้บริโภคและผู้ประกอบการหันมาใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น รวมทั้งจะขยายการรับชำระเงิน
ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถชำระเงินระหว่างประเทศอาเซียนได้ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการใช้เช็คอาจจะปรับลดลงเนื่องจาก ธปท. ต้อง
การให้เกิดการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าการใช้เช็คที่สิ้นเปลืองมากกว่า และยังลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บและจัดส่งเช็คในแต่ละปีเป็น
เงินจำนวนมากได้ด้วย สำหรับปริมาณการใช้เช็ค ณ สิ้นเดือน ก.พ.51 ปริมาณเช็คเรียกเก็บเพื่อการหักบัญชีระหว่างธนาคารในเขตกรุงเทพฯ และ
ปริมณฑลมีทั้งสิ้น 4.6 ล้านฉบับ คิดเป็นมูลค่า 2.5 ล้านล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับเดือน ม.ค.51 ที่มีปริมาณเช็คเรียกเก็บ 5.1 ล้านฉบับ มูลค่า
2.83 ล้านล้านบาท และเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการขึ้นราคาเช็คจากฉบับละ 5 บาท เป็น 15 บาท
ตามนโยบายการลดการใช้เช็คและส่งเสริมการใช้สื่อการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ ธปท. เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือน มี.ค.49 ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้
ผู้ใช้เช็คเปลี่ยนแปลงการสั่งจ่ายเช็คต่อฉบับด้วยมูลค่าที่สูงขึ้น (โพสต์ทูเดย์)
2. สมาคมธนาคารไทยชี้ช่องโหว่กฎหมายประกันเงินฝากอาจสร้างปัญหาในอนาคต นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคาร
ไทย กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้จะทดแทนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ทำให้ต่อไปกองทุนฟื้นฟูฯ และ ก.คลังจะไม่สามารถใส่เงินเพิ่มทุนให้กับธนาคารที่มีปัญหา
ได้อีก หากธนาคารรายใดประสบปัญหาสภาพคล่องต้องเพิ่มทุนแม้จะหาพันธมิตรได้แล้ว แต่ช่วงระหว่างที่รอเงินจากพันธมิตรใส่เข้ามา ธนาคารแห่งนั้น
อาจล้มไปก่อนแล้วก็ได้ ทั้งนี้ ถึงขั้นตอนนี้คงไม่มีการร่างกฎหมายลูกขึ้นมาก เพราะเรื่องนี้ได้มีการหารือในขั้นตอนกรรมาธิการไปแล้ว ซึ่งในหลักการก็
ได้ชี้แจงว่าเห็นด้วยที่ไม่ควรนำเงินภาษีของประชาชนไปช่วยธนาคารที่ไปไม่รอด แต่ก็ควรแยก ธ.พาณิชย์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีปัญหาสภาพคล่อง
ชั่วคราวอยู่ระหว่างรอเงินเพิ่มทุนมั่นใจว่าจะหาผู้ร่วมทุนได้ในอนาคต และกลุ่มที่ไปไม่รอดจริง ๆ ซึ่งกลุ่มนี้ก็ไม่สมควรช่วย หาก ธ.พาณิชย์รายนั้นตก
อยู่ในกลุ่มแรกน่าจะได้รับเงินเพิ่มทุนจากทางการเข้าช่วยระหว่างรอเงินจากพันธมิตร ซึ่งทางการอาจขายหุ้นในอนาคตได้เงินกลับคืนในภายหลัง แต่
กลายเป็นว่าขณะนี้ไม่ว่าใครก็ตามไม่สามารถใส่เงินเพื่อช่วยเหลือธนาคารที่มีปัญหาได้ ดังนั้น เห็นว่าควรมีการจัดตั้งองค์กรที่รับซื้อสินทรัพย์ดีหรือองค์กร
ที่จะช่วยเพิ่มทุนหากธนาคารเกิดปัญหา เพราะเอกชนเองอาจมีกำลังไม่พอในการเพิ่มทุนแต่ละครั้งที่ใช้เงินหลักพันถึงหมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ประเด็น
ที่ธนาคารสมาชิกได้มีการแสดงความเป็นห่วงหลายเรื่องคือรายละเอียดการปฏิบัติงานที่ยังไม่ชัดเจน เช่น การคุ้มครองเฉพาะเงินฝาก ทั้งที่รูปแบบ
เงินฝากเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ผู้ฝากที่มีผู้ฝากรายย่อย เช่น สหกรณ์ การคุ้มครองธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น อำนาจหน้าที่ที่อาจซ้ำซ้อน
ระหว่าง ธปท. และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก อัตราเงินนำส่ง และการกำหนดให้ผู้ฝากยื่นขอรับเงินภายในกำหนดเวลาที่สั้นมาก เป็นต้น ซึ่งควรมีการ
ระบุรายละเอียดและวิธีปฏิบัติให้ชัดเจนเพื่อง่ายต่อการปฏิบัติงานและถูกต้องตามเจตนารมณ์ของ พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (โพสต์ทูเดย์)
3. คาดว่า ธปท. จะใช้อัตราดอกเบี้ยดูแลเงินเฟ้อมากกว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ
และธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันทั้งปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 85—90 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล สูงขึ้นจากปีก่อนประมาณ 20 ดอลลาร์
สรอ. ต่อบาร์เรล ซึ่งการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบประมาณ 20 ดอลลาร์ สรอ. จะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกปรับขึ้นปริมาณ 3 — 4 บาทต่อลิตร
และมีผลทำให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 - 0.6 โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.0 - 4.5 ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะขยายตัว
ร้อยละ 2.0 — 2.5 ทำให้ในระยะยาวอัตราดอกเบี้ยต้องอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนในระยะสั้นการใช้ดอกเบี้ยดูแลค่าเงินบาทและกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะ
ทำได้ แต่ครึ่งปีหลังคงไม่ใช่ดอกเบี้ยขาลง อาจจะปรับเป็นขาขึ้นหรือตรึงดอกเบี้ยไว้ ทั้งนี้ คาดว่า ธปท. อาจจะปรับลดดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.5 ใน
ครึ่งแรกของปีนี้จากร้อยละ 3.25 เหลือร้อยละ 2.75 หากมีความจำเป็น ซึ่ง ธปท. ไม่น่าจะใช้ดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากมีมาตรการ
ด้านการคลังเป็นตัวกระตุ้นอยู่แล้ว แต่น่าจะใช้ดอกเบี้ยดูแลเงินเฟ้อมากกว่า ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร
บล.เอเชียพลัส มองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตร้อยละ 4 — 5 แต่หากเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะถดถอยจริงก็ย่อมมีผลกระทบต่อการขยาย
ตัวของเศรษฐกิจไทย และอาจจะต้องปรับประมาณการจีดีพีใหม่อีกครั้ง ซึ่งไทยควรป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการหาตลาดใหม่ในการทำการ
ค้าเพิ่ม เช่น ประเทศในแถบตะวันออกลาง ส่วนปัญหาเงินเฟ้อนั้นมองว่าเป็นปรากฎการณ์เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากน้ำมันแพงจึงควบคุม
ได้ลำบาก แต่ในส่วนของรัฐบาลขณะนี้ถือว่ามีมาตรการที่ออกมาบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าได้น่าพอใจในระดับหนึ่งแล้ว (กรุงเทพธุรกิจ)
4. คาดว่า ธ.กลาง สรอ. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กก.ผจก. ธ.กสิกรไทย กล่าวว่า ใน
การประชุม ธ.กลาง สรอ. วันที่ 18 มี.ค.นี้ คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.50 และจะปรับลดลงอีกในระดับเดียวกันในการ
ประชุมวันที่ 29 — 30 เม.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลาง สรอ. ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ส่งผลให้เงินไหลเข้าและทำให้
เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก ด้านนักค้าเงินของ ธ.พาณิชย์กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยในประเทศควรปรับลดลงได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเห็นเงินไหลเข้ามาทำ
กำไรมากขึ้น ยิ่งทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก และจะทำให้ ธปท. ต้องใช้เงินจำนวนมากเข้าไปแทรกแซง ขณะที่ นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษก
ก.คลัง มั่นใจว่า ธ.กลาง สรอ. จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกแน่นอน ซึ่งจะเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ ธปท. ต้องปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อทำ
ให้ส่วนต่างดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศแคบลง ไม่เช่นนั้นเงินทุนต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนในไทยและส่งผลให้เงินบาทแข็งค่ามากยิ่งขึ้น
ส่วนศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธ.กลาง สรอ. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.50 — 0.75 เพื่อประคองภาวะเศรษฐกิจ สรอ. ให้รอดพ้นจาก
การถดถอยที่รุนแรง เนื่องจากผลกระทบของปัญหาซับไพร์ม ที่ได้ลุกลามกระทบตลาดสินเชื่อส่วนใหญ่และกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดเงินด้วย
(เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สรอ.ในเดือน มี.ค.51 ลดลงที่ระดับ 70.5 รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 14 มี.ค.51 The Reuters
/University of Michigan เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ. ในเดือน มี.ค.51 ว่าอยู่ที่ระดับ 70.5 ลดลงเล็กน้อย
จากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 70.8 แต่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดัชนีฯ จะอยู่ที่ระดับ 69.0 ทั้งนี้ การที่ดัชนีความเชื่อมั่น
ของผู้บริโภค สรอ. ชะลอลงดังกล่าว มีสาเหตุจากราคาน้ำมันและอาหารปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับตัวเพิ่มขึ้น
ของอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน โดยความคาดหวังของผู้บริโภคเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5
เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.6 ในเดือนก่อนหน้า เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 33 ขณะที่ความคาดหวังเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในช่วง 5 ปี ซึ่งใช้ในการประเมิน
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ลดลงที่ระดับร้อยละ 2.9 จากร้อยละ 3.0 ในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. ผวก.ธ.กลางจีนเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกหากมีความจำเป็น รายงานจาก Shanghai เมื่อวัน
ที่ 17 มี.ค. 51 วารสารตลาดหลักทรัพย์ของจีนรายงานคำกล่าวของนาย Zhou Xiaochuan ผวก. ธ.กลางจีนที่เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเพิ่มการดำรงทุนสำรองที่ ธพ. อีก หากมีความจำเป็น ทั้งนี้ ต้องพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างข้อดี และข้อเสียเพื่อ
ที่จะเลือกนโยบายการเงินที่เหมาะสมที่สุดและระยะเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินโยบายดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมา ธ.กลางจีนได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายมาแล้วรวม 6 ครั้ง และปรับเพิ่มการดำรงทุนสำรองที่ ธพ. มาแล้ว 10 ครั้งนับตั้งแต่ปี 50 สำหรับปีนี้จีนยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่
ระดับเดิม แต่ได้ปรับเพิ่มการดำรงทุนสำรองที่ ธพ. แล้ว 1 ครั้ง อย่างไรก็ตามมีคำถามว่าจีนจะปรับค่าเงินหยวนอีกหรือไม่ ซึ่งเขามิได้ให้ความเห็น
ใดๆ แต่กล่าวว่าค่าเงินหยวนเป็นไปในทิศทางตลาด ซึ่งที่ผ่านมานับตั้งแต่เดือน ก.ค. 48 ธ.กลางจีนปรับค่าเงินหยวนเมื่อเทียบต่อดอลลาร์ สรอ.
ให้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.1 และไปปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสับสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินนโยบายการเงินที่
เข้มงวดเพื่อที่จะขจัดภาวะเงินเฟ้อที่ทำสถิติสูงที่สุดในรอบ 11 ปีที่ร้อยละ 8.7 อย่างไรก็ตาม Zhou มีความพอใจในตัวเลขทางเศรษฐกิจของเดือน
ก.พ. ที่บ่งชี้ว่าปริมาณเงินหมุนเวียนและสินเชื่อขยายตัวชะลอตัวลง แต่ก็ยังไม่ควรด่วนสรุปเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนและฤดูหนาวที่เลวร้ายซึ่ง
มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ แต่ต้องเฝ้าติดตามแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในเดือน มี.ค. ว่าจะมีเสถียรภาพหรือไม่ (รอยเตอร์)
3. ในเดือน ก.พ.51 อัตราเงินเฟ้อใน Euro zone เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 3.3 ต่อปี รายงานจาก
บรัสเซลส์ เมื่อ 14 มี.ค.51 Eurostat รายงานอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ต่อปี
สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นถึงร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับ
เดือนเดียวกันปีก่อนซึ่งส่งผลให้ราคาอาหารและค่าขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และร้อยละ 5.4 ต่อปีตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่รวม
ราคาอาหารสดและพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.3 ต่อปีในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ต้องการ
รักษาระดับอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี ดังนั้น แม้ว่า ECB จะต้องการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้ม
ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินยูโรและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า
ECB อาจลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างเร็วที่สุดในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ (รอยเตอร์)
4. ยอดค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน ม.ค.51 ลดลงร้อยละ 2.2 ต่อเดือน รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ 14 มี.ค.51 ยอดค้าปลีกใน
เดือน ม.ค.51 ของสิงคโปร์ลดลงอย่างไม่คาดมาก่อนร้อยละ 2.2 ต่อเดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในเดือนก่อน แต่อย่างไรก็ดี หากเทียบต่อ
ปีแล้วยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 สูงกว่าเดือนก่อนซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ต่อปี โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงตามปั๊มน้ำมัน
และยอดขายของห้างสรรพสินค้า แต่นักเศรษฐศาสตร์เห็นว่ายอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบต่อปี อาจเป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค.ที่เพิ่มขึ้น
ถึงร้อยละ 6.6 ต่อปี สูงสุดในรอบ 25 ปี ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกในเดือน ม.ค.จะสูงขึ้นโดยได้รับผลดีจากค่า
แรงที่สูงขึ้นและอัตราการว่างงานที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปีที่ร้อยละ 1.6 ในไตรมาสสุดท้ายปี 50 ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 17 มี.ค. 51 14 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่ง
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.412 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.2229/31.5598 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25313 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 818.04/11.58 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 15,100/15,200 14,700/14,800 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 100.02 98.85 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 34.59*/29.94 34.09/29.94 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 15 มี.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. คาดว่าการทำธุรกรรมชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ปีนี้จะเพิ่มมากขึ้น ธปท. รายงานการคาดการณ์แนวโน้มปริมาณและมูลค่า
ธุรกรรมการชำระเงินผ่านระบบการชำระเงินของ ธปท. ในปีนี้ว่า มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
ประกอบกับ ธปท. มีแผนงานสนับสนุนการลดปริมาณการใช้เงินสดในมือประชาชนลงด้วย ทำให้ทิศทางการชำระเงินน่าจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยจะมี
มาตรการจูงใจให้ลูกค้าทั้งระดับผู้บริโภคและผู้ประกอบการหันมาใช้บริการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น รวมทั้งจะขยายการรับชำระเงิน
ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถชำระเงินระหว่างประเทศอาเซียนได้ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการใช้เช็คอาจจะปรับลดลงเนื่องจาก ธปท. ต้อง
การให้เกิดการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าการใช้เช็คที่สิ้นเปลืองมากกว่า และยังลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บและจัดส่งเช็คในแต่ละปีเป็น
เงินจำนวนมากได้ด้วย สำหรับปริมาณการใช้เช็ค ณ สิ้นเดือน ก.พ.51 ปริมาณเช็คเรียกเก็บเพื่อการหักบัญชีระหว่างธนาคารในเขตกรุงเทพฯ และ
ปริมณฑลมีทั้งสิ้น 4.6 ล้านฉบับ คิดเป็นมูลค่า 2.5 ล้านล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับเดือน ม.ค.51 ที่มีปริมาณเช็คเรียกเก็บ 5.1 ล้านฉบับ มูลค่า
2.83 ล้านล้านบาท และเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการขึ้นราคาเช็คจากฉบับละ 5 บาท เป็น 15 บาท
ตามนโยบายการลดการใช้เช็คและส่งเสริมการใช้สื่อการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ ธปท. เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือน มี.ค.49 ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้
ผู้ใช้เช็คเปลี่ยนแปลงการสั่งจ่ายเช็คต่อฉบับด้วยมูลค่าที่สูงขึ้น (โพสต์ทูเดย์)
2. สมาคมธนาคารไทยชี้ช่องโหว่กฎหมายประกันเงินฝากอาจสร้างปัญหาในอนาคต นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคาร
ไทย กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้จะทดแทนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ทำให้ต่อไปกองทุนฟื้นฟูฯ และ ก.คลังจะไม่สามารถใส่เงินเพิ่มทุนให้กับธนาคารที่มีปัญหา
ได้อีก หากธนาคารรายใดประสบปัญหาสภาพคล่องต้องเพิ่มทุนแม้จะหาพันธมิตรได้แล้ว แต่ช่วงระหว่างที่รอเงินจากพันธมิตรใส่เข้ามา ธนาคารแห่งนั้น
อาจล้มไปก่อนแล้วก็ได้ ทั้งนี้ ถึงขั้นตอนนี้คงไม่มีการร่างกฎหมายลูกขึ้นมาก เพราะเรื่องนี้ได้มีการหารือในขั้นตอนกรรมาธิการไปแล้ว ซึ่งในหลักการก็
ได้ชี้แจงว่าเห็นด้วยที่ไม่ควรนำเงินภาษีของประชาชนไปช่วยธนาคารที่ไปไม่รอด แต่ก็ควรแยก ธ.พาณิชย์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีปัญหาสภาพคล่อง
ชั่วคราวอยู่ระหว่างรอเงินเพิ่มทุนมั่นใจว่าจะหาผู้ร่วมทุนได้ในอนาคต และกลุ่มที่ไปไม่รอดจริง ๆ ซึ่งกลุ่มนี้ก็ไม่สมควรช่วย หาก ธ.พาณิชย์รายนั้นตก
อยู่ในกลุ่มแรกน่าจะได้รับเงินเพิ่มทุนจากทางการเข้าช่วยระหว่างรอเงินจากพันธมิตร ซึ่งทางการอาจขายหุ้นในอนาคตได้เงินกลับคืนในภายหลัง แต่
กลายเป็นว่าขณะนี้ไม่ว่าใครก็ตามไม่สามารถใส่เงินเพื่อช่วยเหลือธนาคารที่มีปัญหาได้ ดังนั้น เห็นว่าควรมีการจัดตั้งองค์กรที่รับซื้อสินทรัพย์ดีหรือองค์กร
ที่จะช่วยเพิ่มทุนหากธนาคารเกิดปัญหา เพราะเอกชนเองอาจมีกำลังไม่พอในการเพิ่มทุนแต่ละครั้งที่ใช้เงินหลักพันถึงหมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ประเด็น
ที่ธนาคารสมาชิกได้มีการแสดงความเป็นห่วงหลายเรื่องคือรายละเอียดการปฏิบัติงานที่ยังไม่ชัดเจน เช่น การคุ้มครองเฉพาะเงินฝาก ทั้งที่รูปแบบ
เงินฝากเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ผู้ฝากที่มีผู้ฝากรายย่อย เช่น สหกรณ์ การคุ้มครองธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น อำนาจหน้าที่ที่อาจซ้ำซ้อน
ระหว่าง ธปท. และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก อัตราเงินนำส่ง และการกำหนดให้ผู้ฝากยื่นขอรับเงินภายในกำหนดเวลาที่สั้นมาก เป็นต้น ซึ่งควรมีการ
ระบุรายละเอียดและวิธีปฏิบัติให้ชัดเจนเพื่อง่ายต่อการปฏิบัติงานและถูกต้องตามเจตนารมณ์ของ พรบ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (โพสต์ทูเดย์)
3. คาดว่า ธปท. จะใช้อัตราดอกเบี้ยดูแลเงินเฟ้อมากกว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ
และธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันทั้งปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 85—90 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล สูงขึ้นจากปีก่อนประมาณ 20 ดอลลาร์
สรอ. ต่อบาร์เรล ซึ่งการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบประมาณ 20 ดอลลาร์ สรอ. จะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกปรับขึ้นปริมาณ 3 — 4 บาทต่อลิตร
และมีผลทำให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 - 0.6 โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 4.0 - 4.5 ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานจะขยายตัว
ร้อยละ 2.0 — 2.5 ทำให้ในระยะยาวอัตราดอกเบี้ยต้องอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่วนในระยะสั้นการใช้ดอกเบี้ยดูแลค่าเงินบาทและกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะ
ทำได้ แต่ครึ่งปีหลังคงไม่ใช่ดอกเบี้ยขาลง อาจจะปรับเป็นขาขึ้นหรือตรึงดอกเบี้ยไว้ ทั้งนี้ คาดว่า ธปท. อาจจะปรับลดดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.5 ใน
ครึ่งแรกของปีนี้จากร้อยละ 3.25 เหลือร้อยละ 2.75 หากมีความจำเป็น ซึ่ง ธปท. ไม่น่าจะใช้ดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากมีมาตรการ
ด้านการคลังเป็นตัวกระตุ้นอยู่แล้ว แต่น่าจะใช้ดอกเบี้ยดูแลเงินเฟ้อมากกว่า ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร
บล.เอเชียพลัส มองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตร้อยละ 4 — 5 แต่หากเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะถดถอยจริงก็ย่อมมีผลกระทบต่อการขยาย
ตัวของเศรษฐกิจไทย และอาจจะต้องปรับประมาณการจีดีพีใหม่อีกครั้ง ซึ่งไทยควรป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยการหาตลาดใหม่ในการทำการ
ค้าเพิ่ม เช่น ประเทศในแถบตะวันออกลาง ส่วนปัญหาเงินเฟ้อนั้นมองว่าเป็นปรากฎการณ์เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นทั่วโลก เนื่องจากน้ำมันแพงจึงควบคุม
ได้ลำบาก แต่ในส่วนของรัฐบาลขณะนี้ถือว่ามีมาตรการที่ออกมาบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าได้น่าพอใจในระดับหนึ่งแล้ว (กรุงเทพธุรกิจ)
4. คาดว่า ธ.กลาง สรอ. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กก.ผจก. ธ.กสิกรไทย กล่าวว่า ใน
การประชุม ธ.กลาง สรอ. วันที่ 18 มี.ค.นี้ คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.50 และจะปรับลดลงอีกในระดับเดียวกันในการ
ประชุมวันที่ 29 — 30 เม.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของ ธ.กลาง สรอ. ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ส่งผลให้เงินไหลเข้าและทำให้
เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก ด้านนักค้าเงินของ ธ.พาณิชย์กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยในประเทศควรปรับลดลงได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเห็นเงินไหลเข้ามาทำ
กำไรมากขึ้น ยิ่งทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก และจะทำให้ ธปท. ต้องใช้เงินจำนวนมากเข้าไปแทรกแซง ขณะที่ นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษก
ก.คลัง มั่นใจว่า ธ.กลาง สรอ. จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกแน่นอน ซึ่งจะเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ ธปท. ต้องปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อทำ
ให้ส่วนต่างดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศแคบลง ไม่เช่นนั้นเงินทุนต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนในไทยและส่งผลให้เงินบาทแข็งค่ามากยิ่งขึ้น
ส่วนศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธ.กลาง สรอ. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.50 — 0.75 เพื่อประคองภาวะเศรษฐกิจ สรอ. ให้รอดพ้นจาก
การถดถอยที่รุนแรง เนื่องจากผลกระทบของปัญหาซับไพร์ม ที่ได้ลุกลามกระทบตลาดสินเชื่อส่วนใหญ่และกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดเงินด้วย
(เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สรอ.ในเดือน มี.ค.51 ลดลงที่ระดับ 70.5 รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 14 มี.ค.51 The Reuters
/University of Michigan เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ. ในเดือน มี.ค.51 ว่าอยู่ที่ระดับ 70.5 ลดลงเล็กน้อย
จากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 70.8 แต่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าดัชนีฯ จะอยู่ที่ระดับ 69.0 ทั้งนี้ การที่ดัชนีความเชื่อมั่น
ของผู้บริโภค สรอ. ชะลอลงดังกล่าว มีสาเหตุจากราคาน้ำมันและอาหารปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับตัวเพิ่มขึ้น
ของอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน โดยความคาดหวังของผู้บริโภคเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5
เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.6 ในเดือนก่อนหน้า เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 33 ขณะที่ความคาดหวังเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในช่วง 5 ปี ซึ่งใช้ในการประเมิน
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ลดลงที่ระดับร้อยละ 2.9 จากร้อยละ 3.0 ในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. ผวก.ธ.กลางจีนเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกหากมีความจำเป็น รายงานจาก Shanghai เมื่อวัน
ที่ 17 มี.ค. 51 วารสารตลาดหลักทรัพย์ของจีนรายงานคำกล่าวของนาย Zhou Xiaochuan ผวก. ธ.กลางจีนที่เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเพิ่มการดำรงทุนสำรองที่ ธพ. อีก หากมีความจำเป็น ทั้งนี้ ต้องพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างข้อดี และข้อเสียเพื่อ
ที่จะเลือกนโยบายการเงินที่เหมาะสมที่สุดและระยะเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินโยบายดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมา ธ.กลางจีนได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
นโยบายมาแล้วรวม 6 ครั้ง และปรับเพิ่มการดำรงทุนสำรองที่ ธพ. มาแล้ว 10 ครั้งนับตั้งแต่ปี 50 สำหรับปีนี้จีนยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่
ระดับเดิม แต่ได้ปรับเพิ่มการดำรงทุนสำรองที่ ธพ. แล้ว 1 ครั้ง อย่างไรก็ตามมีคำถามว่าจีนจะปรับค่าเงินหยวนอีกหรือไม่ ซึ่งเขามิได้ให้ความเห็น
ใดๆ แต่กล่าวว่าค่าเงินหยวนเป็นไปในทิศทางตลาด ซึ่งที่ผ่านมานับตั้งแต่เดือน ก.ค. 48 ธ.กลางจีนปรับค่าเงินหยวนเมื่อเทียบต่อดอลลาร์ สรอ.
ให้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.1 และไปปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสับสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินนโยบายการเงินที่
เข้มงวดเพื่อที่จะขจัดภาวะเงินเฟ้อที่ทำสถิติสูงที่สุดในรอบ 11 ปีที่ร้อยละ 8.7 อย่างไรก็ตาม Zhou มีความพอใจในตัวเลขทางเศรษฐกิจของเดือน
ก.พ. ที่บ่งชี้ว่าปริมาณเงินหมุนเวียนและสินเชื่อขยายตัวชะลอตัวลง แต่ก็ยังไม่ควรด่วนสรุปเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนและฤดูหนาวที่เลวร้ายซึ่ง
มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ แต่ต้องเฝ้าติดตามแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในเดือน มี.ค. ว่าจะมีเสถียรภาพหรือไม่ (รอยเตอร์)
3. ในเดือน ก.พ.51 อัตราเงินเฟ้อใน Euro zone เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 3.3 ต่อปี รายงานจาก
บรัสเซลส์ เมื่อ 14 มี.ค.51 Eurostat รายงานอัตราเงินเฟ้อของ Euro zone ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 ต่อปี
สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นถึงร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับ
เดือนเดียวกันปีก่อนซึ่งส่งผลให้ราคาอาหารและค่าขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 และร้อยละ 5.4 ต่อปีตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่รวม
ราคาอาหารสดและพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.3 ต่อปีในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB ต้องการ
รักษาระดับอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ต่อปี ดังนั้น แม้ว่า ECB จะต้องการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้ม
ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินยูโรและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า
ECB อาจลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างเร็วที่สุดในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ (รอยเตอร์)
4. ยอดค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน ม.ค.51 ลดลงร้อยละ 2.2 ต่อเดือน รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ 14 มี.ค.51 ยอดค้าปลีกใน
เดือน ม.ค.51 ของสิงคโปร์ลดลงอย่างไม่คาดมาก่อนร้อยละ 2.2 ต่อเดือน หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในเดือนก่อน แต่อย่างไรก็ดี หากเทียบต่อ
ปีแล้วยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 สูงกว่าเดือนก่อนซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ต่อปี โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงตามปั๊มน้ำมัน
และยอดขายของห้างสรรพสินค้า แต่นักเศรษฐศาสตร์เห็นว่ายอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบต่อปี อาจเป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค.ที่เพิ่มขึ้น
ถึงร้อยละ 6.6 ต่อปี สูงสุดในรอบ 25 ปี ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกในเดือน ม.ค.จะสูงขึ้นโดยได้รับผลดีจากค่า
แรงที่สูงขึ้นและอัตราการว่างงานที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปีที่ร้อยละ 1.6 ในไตรมาสสุดท้ายปี 50 ที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 17 มี.ค. 51 14 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่ง
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.412 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.2229/31.5598 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25313 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 818.04/11.58 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 15,100/15,200 14,700/14,800 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 100.02 98.85 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 34.59*/29.94 34.09/29.94 32.89/29.34 ปตท.
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 15 มี.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--