ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ยืนยันระบบสถาบันการเงินไทยยังคงแข็งแกร่งและไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ นายเกริก วณิกกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ธนาคารในสหรัฐประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและประชาชนเร่งถอนเงิน
ทำให้แบร์สเทิร์นส์ วาณิชธนกิจอันดับ 5 ของสหรัฐ ประสบปัญหาขาดทุนจากวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) จนต้องขายหุ้น
ให้กับ เจ.พี.มอร์แกน ว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 4 แห่งที่ลงทุนใน พธบ.หนุนหลังด้วยสินเชื่อ (ซีดีโอ) และซับไพรม์ยังมีฐานะที่แข็งแกร่ง
ขณะที่มีการกันสำรองเผื่อหนี้สำหรับส่วนสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการลงทุนในซีดีโอไว้ทั้งหมดแล้ว โดยประเมินตามราคาตลาดในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ซีดีโอที่ ธพ.ไทยไปลงทุนนั้น ส่วนใหญ่เป็นซีดีโอที่ไม่ได้หนุนหลังด้วยสินเชื่อ แต่หนุนหลังด้วยสินเชื่อของบริษัทและภาคธุรกิจที่มี
ฐานะดี แม้ว่าวิกฤตจากซับไพร์มจะส่งผลกระทบให้ราคาสินทรัพย์เหล่านี้ตกลง แต่จะลดลงไม่มากและยังไม่น่าเป็นห่วง มีเพียง 1 ใน 4 แห่ง
เท่านั้นที่ลงทุนในซับไพรม์ แต่ธนาคารดังกล่าวก็ได้ประเมินความเสียหาย ตั้งสำรองหนี้ และเพิ่มทุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแล้วในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ธปท.ยังติดตามปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด รวมถึงฐานะของระบบสถาบันการเงินของไทย ซึ่งขณะนี้ระบบยังคงมีความแข็งแกร่ง
(โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.กำหนดให้ ธพ.ในประเทศและสาขาต่างประเทศ ประกาศเผยแพร่และรายงานข้อมูลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม
และเงื่อนไขบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ธปท.ได้ส่งหนังสือเวียนขอความ
ร่วมมือจาก ธพ.จดทะเบียนในประเทศทุกธนาคารและสาขาต่างประเทศทุกธนาคาร ติดประกาศเผยแพร่และรายงานข้อมูลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ค่าธรรมเนียม และเงื่อนไขบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศของ ธพ.ให้ประชาชนทราบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และประชาชนสามารถ
เปรียบเทียบข้อมูลก่อนเลือกใช้บริการ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในการประกอบธุรกิจด้วย โดยกำหนดให้ ธพ.
ต้องประกาศเผยแพร่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝากและเงื่อนไขบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศดังนี้ ให้ปิดประกาศตารางอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม
และเงื่อนไขบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานใหญ่และสาขาที่ให้บริการภาคในวันเดียวกับที่ ธพ.ออกประกาศ
หรือเปลี่ยนแปลงประกาศ รวมทั้งให้เผยแพร่ประกาศดังกล่าวไว้ในเว็บไซต์ของธนาคารก่อนวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ และต้องเปิดเผยข้อมูล
ย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี เพื่อให้ลูกค้าเรียกดูข้อมูลได้ และให้จัดเก็บต้นฉบับของประกาศไว้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเอกสาร หรือสื่อบันทึกโดย
เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือในรูปแบบใดๆ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี นับตั้งแต่วันที่อัตราที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ ให้ ธพ.ส่งข้อมูลดังกล่าว
ให้แก่ ธปท.ภายใน 3 วันทำการ นับจากที่ออกประกาศหรือเปลี่ยนแปลงประกาศในครั้งแรก (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
3. ทตน.อยู่ระหว่างพิจารณาการปรับเปลี่ยนค่าธรรมเนียมของระบบการชำระเงินในประเทศให้เหมาะสมกับต้นทุนที่แท้จริง
ดร.สมชัย จิตสุชน ในฐานะประธานคณะทำงานต้นทุนและค่าธรรมเนียมการให้บริการชำระเงินของธนาคารพาณิชย์ (ทตน.) เปิดเผยว่า
ขณะนี้คณะทำงานฯ กำลังพิจารณาหารือถึงการปรับเปลี่ยนค่าธรรมเนียมของระบบการชำระเงินในประเทศไทย เพื่อพิจารณาหาราคาค่า
ธรรมเนียมที่เหมาะสมของการให้การบริการชำระเงินแต่ละประเภท เนื่องจากปัจจุบันการให้บริการบางอย่างไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
จึงควรมีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมมากขึ้น (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ที่ประชุม ครม.เห็นชอบกรอบ งปม.รายจ่ายประจำปี 2552 วงเงิน 1.835 ล้านล้านบาท นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รอง นรม.
และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 วงเงิน 1.835 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2551 จำนวน 175,000 ล้านบาท ภายใต้กรอบรายได้ 1,585,500 ล้านบาท โดยยังเป็นงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้า
ต่อไปได้จำนวน 249,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว
ร้อยละ 5.5 โดยจีดีพีอยู่ที่ 10.65 ล้านล้านบาท อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 3.5 (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.75 เหลือร้อยละ 2.25 ต่อปีต่ำสุดในรอบ 3 ปี รายงานจากวอชิงตัน/นิวยอร์ค
เมื่อ 18 มี.ค.51 ธ.กลาง สรอ.หรือเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.75 เหลือร้อยละ 2.25 ต่อปี ต่ำสุดในรอบ 3 ปี แสดง
ให้เห็นว่าเฟดให้ความสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ นับตั้งแต่กลางเดือน ก.ย.50 เป็นต้นมา
เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้วถึงร้อยละ 3.0 ต่อปี ซึ่งรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยรวมร้อยละ 2.0 ต่อปีนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเมื่อ
เร็วๆ นี้เฟดให้สัญญาว่าจะอัดฉีดเงินมูลค่ารวมถึง 400 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เข้าไปในระบบการเงินเพื่อบรรเทาภาวะวิกฤติในตลาดสินเชื่อ
โดยสองวันก่อนหน้าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ เฟดได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินมูลค่ารวม 30 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพื่อช่วยให้การ
ขายกิจการของธนาคารเพื่อการลงทุน Bear Stearns ซึ่งประสบปัญหาทางการเงินสามารถดำเนินต่อไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เฟดไม่เคยปฏิบัติ
มาก่อน ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจสร้างความเสียหายต่อระบบการเงินของประเทศ และผลสำรวจความเห็นของบริษัทในตลาดการเงิน
16 ราย มีถึง 10 รายที่คาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.50 ต่อปีในการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 29 — 30 เม.ย.51 นี้
ในขณะที่อีก 6 รายคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงเพียงร้อยละ 0.25 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ผลสำรวจชี้ว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค. อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี รายงาน
จากโตเกียว เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 51 ผลการสำรวจผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชั้นนำของญี่ปุ่นโดยรอยเตอร์ชี้ว่าในเดือน มี.ค. ผู้ประกอบการ
อุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นที่ระดับ +8 ลดลงจากระดับ +9 ในเดือน ก.พ. ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 47 ที่ทำสถิติต่ำสุดที่ระดับ +4 ขณะที่
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในภาคบริการอยู่ที่ระดับ +2 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือน ก.พ. และอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี เนื่องจาก
กิจการหลายแห่งมีความกังวลเกี่ยวกับการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ราคาอาหาร และการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง ขณะที่เมื่อเทียบกับ
ไตรมาสก่อนหน้าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมลดลง 13 จุด เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นในภาคนอกอุตสาหกรรมการผลิตลดลง
11 จุด เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อุปสงค์ในประเทศลดลง การแข็งค่าของเงินเยน และความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มภาวะ
เศรษฐกิจ สรอ. ทั้งนี้การที่ผลการสำรวจบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นอ่อนตัวลงจึงมีความเป็นไปได้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจของเดือน มี.ค.
ที่ทางการญี่ปุ่นมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 1 เม.ย. จะเลวลงด้วย และสนับสนุนความเห็นที่ว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ใน
ระดับเดิมหรือจะปรับลดลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ(รอยเตอร์)
3. ธ.กลางจีนให้ ธ.พาณิชย์เพิ่มกันสำรองสินเชื่ออีกครั้ง รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 18 มี.ค.51 ธ.กลางจีน
สั่งการให้ ธ.พาณิชย์ของจีนกันสำรองเงินในการปล่อยสินเชื่อไว้ไว้ในทุนสำรองอีกร้อยละ 0.5 มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. ซึ่งนับเป็นการสั่งให้
เพิ่มการกันสำรองครั้งที่ 15 นับตั้งแต่กลางปี 49 ทำให้อัตราส่วนการกันสำรองของธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.5
ทั้งนี้ ธ.กลางจีนเพิ่งสั่งให้เพิ่มการกันสำรองครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ธ.กลางจีนได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว
8 ครั้ง นับตั้งแต่เริ่มใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงินในเดือน เม.ย.49 โดยได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ธ.ค.50 (รอยเตอร์)
4. อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษเดือน ก.พ. เทียบต่อปีเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 9 เดือน รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ 18 มี.ค.51 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือน ก.พ.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ทำให้อัตรา
เทียบต่อปีเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.5 นับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ค.50 โดยมีสาเหตุจากค่าสาธารณูปโภคหลายอย่างที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอยู่เหนือระดับเป้าหมายของ ธ.กลางอังกฤษที่ร้อยละ 2 มาตั้งแต่เดือน ต.ค. และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่า
ราคาน้ำมันและอาหารที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงคาดการณ์
ว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจุบันที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 5.25 ในช่วง 2 — 3 เดือนข้างหน้านี้ เนื่องจากสถานการณ์
ความผันผวนของตลาดเงินทั่วโลกที่กำลังเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 19 มี.ค. 51 18 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.262 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.0971/31.4221 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25125 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 812.32/14.63 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,550/14,650 14,800/14,900 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 95.36 99.22 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 34.59*/30.24** 34.59*/30.24** 32.89/29.34 ปตท
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 15 มี.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 30 สตางค์เมื่อ 18 มี.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ยืนยันระบบสถาบันการเงินไทยยังคงแข็งแกร่งและไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐ นายเกริก วณิกกุล
ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ธนาคารในสหรัฐประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและประชาชนเร่งถอนเงิน
ทำให้แบร์สเทิร์นส์ วาณิชธนกิจอันดับ 5 ของสหรัฐ ประสบปัญหาขาดทุนจากวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) จนต้องขายหุ้น
ให้กับ เจ.พี.มอร์แกน ว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 4 แห่งที่ลงทุนใน พธบ.หนุนหลังด้วยสินเชื่อ (ซีดีโอ) และซับไพรม์ยังมีฐานะที่แข็งแกร่ง
ขณะที่มีการกันสำรองเผื่อหนี้สำหรับส่วนสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการลงทุนในซีดีโอไว้ทั้งหมดแล้ว โดยประเมินตามราคาตลาดในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ซีดีโอที่ ธพ.ไทยไปลงทุนนั้น ส่วนใหญ่เป็นซีดีโอที่ไม่ได้หนุนหลังด้วยสินเชื่อ แต่หนุนหลังด้วยสินเชื่อของบริษัทและภาคธุรกิจที่มี
ฐานะดี แม้ว่าวิกฤตจากซับไพร์มจะส่งผลกระทบให้ราคาสินทรัพย์เหล่านี้ตกลง แต่จะลดลงไม่มากและยังไม่น่าเป็นห่วง มีเพียง 1 ใน 4 แห่ง
เท่านั้นที่ลงทุนในซับไพรม์ แต่ธนาคารดังกล่าวก็ได้ประเมินความเสียหาย ตั้งสำรองหนี้ และเพิ่มทุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแล้วในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ธปท.ยังติดตามปัญหาซับไพร์มที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด รวมถึงฐานะของระบบสถาบันการเงินของไทย ซึ่งขณะนี้ระบบยังคงมีความแข็งแกร่ง
(โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.กำหนดให้ ธพ.ในประเทศและสาขาต่างประเทศ ประกาศเผยแพร่และรายงานข้อมูลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม
และเงื่อนไขบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ธปท.ได้ส่งหนังสือเวียนขอความ
ร่วมมือจาก ธพ.จดทะเบียนในประเทศทุกธนาคารและสาขาต่างประเทศทุกธนาคาร ติดประกาศเผยแพร่และรายงานข้อมูลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ค่าธรรมเนียม และเงื่อนไขบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศของ ธพ.ให้ประชาชนทราบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และประชาชนสามารถ
เปรียบเทียบข้อมูลก่อนเลือกใช้บริการ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในการประกอบธุรกิจด้วย โดยกำหนดให้ ธพ.
ต้องประกาศเผยแพร่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเงินฝากและเงื่อนไขบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศดังนี้ ให้ปิดประกาศตารางอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม
และเงื่อนไขบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานใหญ่และสาขาที่ให้บริการภาคในวันเดียวกับที่ ธพ.ออกประกาศ
หรือเปลี่ยนแปลงประกาศ รวมทั้งให้เผยแพร่ประกาศดังกล่าวไว้ในเว็บไซต์ของธนาคารก่อนวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับ และต้องเปิดเผยข้อมูล
ย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี เพื่อให้ลูกค้าเรียกดูข้อมูลได้ และให้จัดเก็บต้นฉบับของประกาศไว้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเอกสาร หรือสื่อบันทึกโดย
เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือในรูปแบบใดๆ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี นับตั้งแต่วันที่อัตราที่ประกาศมีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ ให้ ธพ.ส่งข้อมูลดังกล่าว
ให้แก่ ธปท.ภายใน 3 วันทำการ นับจากที่ออกประกาศหรือเปลี่ยนแปลงประกาศในครั้งแรก (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
3. ทตน.อยู่ระหว่างพิจารณาการปรับเปลี่ยนค่าธรรมเนียมของระบบการชำระเงินในประเทศให้เหมาะสมกับต้นทุนที่แท้จริง
ดร.สมชัย จิตสุชน ในฐานะประธานคณะทำงานต้นทุนและค่าธรรมเนียมการให้บริการชำระเงินของธนาคารพาณิชย์ (ทตน.) เปิดเผยว่า
ขณะนี้คณะทำงานฯ กำลังพิจารณาหารือถึงการปรับเปลี่ยนค่าธรรมเนียมของระบบการชำระเงินในประเทศไทย เพื่อพิจารณาหาราคาค่า
ธรรมเนียมที่เหมาะสมของการให้การบริการชำระเงินแต่ละประเภท เนื่องจากปัจจุบันการให้บริการบางอย่างไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
จึงควรมีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมมากขึ้น (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ที่ประชุม ครม.เห็นชอบกรอบ งปม.รายจ่ายประจำปี 2552 วงเงิน 1.835 ล้านล้านบาท นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รอง นรม.
และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 วงเงิน 1.835 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2551 จำนวน 175,000 ล้านบาท ภายใต้กรอบรายได้ 1,585,500 ล้านบาท โดยยังเป็นงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้า
ต่อไปได้จำนวน 249,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.5 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว
ร้อยละ 5.5 โดยจีดีพีอยู่ที่ 10.65 ล้านล้านบาท อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 3.5 (โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.75 เหลือร้อยละ 2.25 ต่อปีต่ำสุดในรอบ 3 ปี รายงานจากวอชิงตัน/นิวยอร์ค
เมื่อ 18 มี.ค.51 ธ.กลาง สรอ.หรือเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกร้อยละ 0.75 เหลือร้อยละ 2.25 ต่อปี ต่ำสุดในรอบ 3 ปี แสดง
ให้เห็นว่าเฟดให้ความสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ นับตั้งแต่กลางเดือน ก.ย.50 เป็นต้นมา
เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้วถึงร้อยละ 3.0 ต่อปี ซึ่งรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยรวมร้อยละ 2.0 ต่อปีนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเมื่อ
เร็วๆ นี้เฟดให้สัญญาว่าจะอัดฉีดเงินมูลค่ารวมถึง 400 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เข้าไปในระบบการเงินเพื่อบรรเทาภาวะวิกฤติในตลาดสินเชื่อ
โดยสองวันก่อนหน้าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ เฟดได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินมูลค่ารวม 30 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพื่อช่วยให้การ
ขายกิจการของธนาคารเพื่อการลงทุน Bear Stearns ซึ่งประสบปัญหาทางการเงินสามารถดำเนินต่อไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เฟดไม่เคยปฏิบัติ
มาก่อน ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจสร้างความเสียหายต่อระบบการเงินของประเทศ และผลสำรวจความเห็นของบริษัทในตลาดการเงิน
16 ราย มีถึง 10 รายที่คาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.50 ต่อปีในการประชุมครั้งหน้าในวันที่ 29 — 30 เม.ย.51 นี้
ในขณะที่อีก 6 รายคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงเพียงร้อยละ 0.25 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ผลสำรวจชี้ว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน มี.ค. อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี รายงาน
จากโตเกียว เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 51 ผลการสำรวจผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชั้นนำของญี่ปุ่นโดยรอยเตอร์ชี้ว่าในเดือน มี.ค. ผู้ประกอบการ
อุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นที่ระดับ +8 ลดลงจากระดับ +9 ในเดือน ก.พ. ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 47 ที่ทำสถิติต่ำสุดที่ระดับ +4 ขณะที่
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในภาคบริการอยู่ที่ระดับ +2 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือน ก.พ. และอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี เนื่องจาก
กิจการหลายแห่งมีความกังวลเกี่ยวกับการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ราคาอาหาร และการบริโภคภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง ขณะที่เมื่อเทียบกับ
ไตรมาสก่อนหน้าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมลดลง 13 จุด เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นในภาคนอกอุตสาหกรรมการผลิตลดลง
11 จุด เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อุปสงค์ในประเทศลดลง การแข็งค่าของเงินเยน และความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มภาวะ
เศรษฐกิจ สรอ. ทั้งนี้การที่ผลการสำรวจบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นอ่อนตัวลงจึงมีความเป็นไปได้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจของเดือน มี.ค.
ที่ทางการญี่ปุ่นมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 1 เม.ย. จะเลวลงด้วย และสนับสนุนความเห็นที่ว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ใน
ระดับเดิมหรือจะปรับลดลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ(รอยเตอร์)
3. ธ.กลางจีนให้ ธ.พาณิชย์เพิ่มกันสำรองสินเชื่ออีกครั้ง รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 18 มี.ค.51 ธ.กลางจีน
สั่งการให้ ธ.พาณิชย์ของจีนกันสำรองเงินในการปล่อยสินเชื่อไว้ไว้ในทุนสำรองอีกร้อยละ 0.5 มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. ซึ่งนับเป็นการสั่งให้
เพิ่มการกันสำรองครั้งที่ 15 นับตั้งแต่กลางปี 49 ทำให้อัตราส่วนการกันสำรองของธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.5
ทั้งนี้ ธ.กลางจีนเพิ่งสั่งให้เพิ่มการกันสำรองครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ธ.กลางจีนได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว
8 ครั้ง นับตั้งแต่เริ่มใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงินในเดือน เม.ย.49 โดยได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ธ.ค.50 (รอยเตอร์)
4. อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษเดือน ก.พ. เทียบต่อปีเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 9 เดือน รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ 18 มี.ค.51 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษในเดือน ก.พ.51 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 ทำให้อัตรา
เทียบต่อปีเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.5 นับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ค.50 โดยมีสาเหตุจากค่าสาธารณูปโภคหลายอย่างที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอยู่เหนือระดับเป้าหมายของ ธ.กลางอังกฤษที่ร้อยละ 2 มาตั้งแต่เดือน ต.ค. และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดว่า
ราคาน้ำมันและอาหารที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงคาดการณ์
ว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจุบันที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 5.25 ในช่วง 2 — 3 เดือนข้างหน้านี้ เนื่องจากสถานการณ์
ความผันผวนของตลาดเงินทั่วโลกที่กำลังเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 19 มี.ค. 51 18 มี.ค. 51 28 ธ.ค. 50 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 31.262 33.747 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 31.0971/31.4221 33.5519/33.8850 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.25125 3.35406 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 812.32/14.63 858.10/17.36 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 14,550/14,650 14,800/14,900 13,100/13,200 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 95.36 99.22 88.13 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 34.59*/30.24** 34.59*/30.24** 32.89/29.34 ปตท
*ปรับเพิ่มลิตรละ 50 สตางค์เมื่อ 15 มี.ค. 51
**ปรับเพิ่มลิตรละ 30 สตางค์เมื่อ 18 มี.ค. 51
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--