3 มกราคม 2544เรียน ผู้จัดการ ธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทุกบริษัท บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม ที่ ธปท.สกง.(05) ว. 2 /2544 เรื่อง การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ระยะยาวแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เป็นลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) แต่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือที่ ธปท.สกง.(12) ว.1039/2543 ลงวันที่ 24 เมษายน 2543 และหนังสือที่ ธปท.สกง.(12) ว.1669/2543 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2543 แจ้งหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ SMEs ที่เป็น NPL และยังมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจต่อไปแล้ว นั้น เพื่อช่วยเหลือ SMEs ดังกล่าวที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนระยะยาวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตหรือขยายงาน ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินระยะยาวเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ ข้อ 1. SMEs ที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับความช่วยเหลือ คือ (1) เป็น SMEs ที่เป็น NPL แต่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และเข้าโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยได้ลงนามในสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด หรือกำลังอยู่ในขบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ดำเนินการควบคู่ไปกับการได้รับสินเชื่อใหม่ (2) เป็น SMEs ที่ประกอบกิจการการผลิตที่มีสินทรัพย์ถาวรสุทธิไม่เกิน 200 ล้านบาท ทั้งนี้การแบ่งประเภทวิสาหกิจให้เป็นไปตามข้อ 2. แห่งระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เกิดจากการประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2543 (3) เป็น SMEs ที่เป็น NPL ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์ของสมาคมธนาคารไทย หรือของสมาคมบริษัทเงินทุน หรือของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บรรษัท) หรือของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) และเป็น SMEs ที่ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บรรษัท หรือ บอย. (สถาบันการเงิน) เห็นสมควรให้สินเชื่อตามข้อ 2. ข้อ 2. สินเชื่อที่สถาบันการเงินจะให้แก่ SMEs ต้องมีลักษณะดังนี้ (1) เป็นสินเชื่อใหม่ที่ใช้เป็นเงินลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตหรือขยายงานเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อราย (2) สินเชื่อดังกล่าวจะต้องได้รับการค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในสัดส่วนร้อยละ 75 ของสินเชื่อส่วนที่ขาดหลักประกัน โดย บสย.คิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจาก SMEs ในอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกัน (3) เป็นสินเชื่อที่มีการเบิกถอนเป็นงวดๆ ตามความคืบหน้าของโครงการ ข้อ 3. ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ SMEs ที่เข้าเกณฑ์ตามข้อ 1. แต่ละรายไม่เกิน 5 ปีโดยการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดย SMEs ผ่านสถาบันการเงินในอัตราไม่เกินร้อยละ 60 ของจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงิน และไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อราย ข้อ 4. ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเรียกเก็บดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินในอัตราไม่เกิน ร้อยละ 3 ต่อปี โดยให้สถาบันการเงินเรียกเก็บดอกเบี้ยจาก SMEs ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมประเภทมีกำหนดระยะเวลาสำหรับลูกค้าชั้นดี (MLR) ของสถาบันการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์ กรณีสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ให้ใช้อัตราดอกเบี้ย MLR เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ 4 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ข้อ 5. ธนาคารแห่งประเทศไทยจะรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดย SMEs แต่ละราย ผ่านสถาบันการเงินเพียงแห่งเดียวเท่านั้น โดยสถาบันการเงินจะต้องแจ้งวัตถุประสงค์การใช้วงเงิน รายละเอียดการใช้เงินลงทุนระยะยาวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตหรือขยายงาน อัตราดอกเบี้ย เงื่อนไข และตารางการชำระหนี้คืนของ SMEs ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาเห็นสมควรให้ความช่วยเหลือแก่ SMEs รายใดแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีหนังสือแจ้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ SMEs รายนั้นให้สถาบันการเงินทราบต่อไป ข้อ 6. สถาบันการเงินที่ประสงค์จะให้สินเชื่อแก่ SMEs ตามโครงการนี้จะต้องยื่นขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยภายในวันที่ 5 เมษายน 2545 จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอแสดงความนับถือ จัตุมงคล โสณกุล (ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล) ผู้ว่าการส่วนสินเชื่อสายตลาดการเงินโทร. 2822414, 2835414หมายเหตุ : ไม่มีการประชุมชี้แจง-ยก-