ประชาชนคาดหวังว่าการเลือกตั้งจะช่วยให้ทิศทางการเมืองมีความเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม 2554 ของประเทศ ทั้งส่วนกลาง(กรุงเทพฯและปริมณฑล) และภูมิภาคทั้ง 5 ภาค ยังอยู่ในระดับต่ำ ปัญหาที่ผู้บริโภคกังวลมากที่สุด คือ ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน และค่าครองชีพ
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนพฤษภาคม 2554 ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมของทั้งประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 17.1* เป็น 18.4 โดยค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ เนื่องจากราคาสินค้าและภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ขณะที่ประชาชนมีความคาดหวังว่าการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมนี้ จะช่วยให้ทิศทางทางการเมืองเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมทั้งปัญหาต่างๆจะได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลชุดใหม่ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคมของปีที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 13.1 เป็น 18.4 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีปัญหาการชุมนุมและความวุ่นวายทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 11.2* เป็น 11.8 เนื่องจากราคาน้ำมันภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลงและมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลทำให้ต้นทุนการขนส่งไม่ได้รับผลกระทบมากเกินไป รวมทั้ง มาตรการบรรเทาค่าครองชีพของกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะโครงการธงฟ้าราคาประหยัดสามารถช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3 เดือน) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 21.1* เป็น 22.8 เนื่องจากนโยบายทางการเงินของประเทศในกลุ่มยูโรโซนมีความชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งผู้บริโภคภายในประเทศมีความคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งจะสามารถแก้ปัญหาค่าครองชีพและปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้
เมื่อพิจารณาราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2554 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน(แก๊สโซฮอล์ 95) ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 39.44 บาท เป็น 37.54 บาท ส่วนน้ำมันดีเซล มีราคาคงตัวอยู่ที่ราคาลิตรละ 29.99 บาท( ที่มา:บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) )
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
- สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 10.8 “ไม่ดี” ร้อยละ 62.2
- สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 13.7 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 45.9
- ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 6.0 “หางานยาก” ร้อยละ 62.4
- ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 6.5 “หางานยาก” ร้อยละ 58.3
- รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 14.9 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 27.1
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม2554 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา) คือ ภาคกลาง จาก 10.8* เป็น 17.6 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 20.0* เป็น 26.2 และภาคใต้ จาก 22.4* เป็น 24.7 เนื่องจากเข้าสู่บรรยากาศการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายทางเศรษฐกิจและการจ้างงานเพิ่มขึ้น รวมทั้ง ราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลดีต่อรายได้และกำลังซื้อของเกษตรกร
ส่วนภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง คือ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 12.5* เป็น 11.7 ภาคเหนือ จาก 23.4* เป็น 17.7 และภาคตะวันออก จาก 9.8* เป็น 6.6 เนื่องจากปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ค่าครองชีพ การว่างงาน เศรษฐกิจทั่วไป คอรัปชั่น และยาเสพติด ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและเศรษฐกิจทั่วไป
ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคใต้ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
1. ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ ที่ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่สูงขึ้นมากจนประชาชนแบกรับภาระไม่ไหว
2. แก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ที่เป็นตัวบ่อนทำลายโครงสร้างและระบบเศรษฐกิจของประเทศ
3. ดูแลสวัสดิการประกันสังคมและสวัสดิการผู้สูงอายุ/ผู้พิการให้เหมาะสมและพอเพียง รวมทั้งเพิ่มเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ
4. แก้ไขปัญหาทางด้านสังคม ยาเสพติด และอาชญากรรม โดยรัฐบาลควรปราบปรามอย่างจริงจังเพื่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน
5. ดูแลการเลือกตั้งให้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม
6. ดำเนินโครงการประกันรายได้หรือโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรมและมีรายได้ที่เพียงพอกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน
---------------------------------------
ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชน นักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า สำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th