ประชาชนคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้
ดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภคเดือนมิถุนายน 2554 ของประเทศ ทั้งส่วนกลาง(กรุงเทพฯและปริมณฑล) และภูมิภาคทั้ง 5 ภาค ยังอยู่ในระดับต่ำ ปัญหาที่ผู้บริโภคกังวลมากที่สุด คือ ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน และค่าครองชีพ
ผลการสำรวจความเชื่อมั่น ผู้บริโภคประจำเดือนมิถุนายน 2554 ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภคโดยรวมของทั่งประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 20.0 เป็น 22.4* โดยค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไม่มีความเชื่อมั่น ต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ เนื่องจากภาวะค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ขณะที่ประชาชนคาดหวังว่าภายหลังการเลือกตั้งจะได้รัฐบาลชุดใหม่ที่มีเสถียรภาพและสามารถสร้างความเชื่อมั่น ให้กับประชาชนและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศค่าดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภคเมื่อ เทียบกับเดือนมิถุนายนของปีที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 19.9 เป็น 22.4* เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากรัฐบาลประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค.54 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยจาก 12.3 เป็น 12.0* เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นและปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมัน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอย
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3 เดือน) ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 25.1 เป็น 29.4* เนื่องจากประชาชนคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ได้จากการเลือกตั้งจะมีแนวนโยบายที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้มีความมั่นคงรวมทั้งสร้างความปรองดองให้กับทุกฝ่ายได้
เมื่อพิจารณาราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศของเดือนมิถุนายน 2554 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน(แก๊สโซฮอล์ 95) ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 37.54 บาท เป็น 37.14 บาท ส่วนน้ำมันดีเซล มีราคาคงตัวอยู่ที่ราคาลิตรละ 29.99 บาท( ที่มา:บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) )
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
- สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 10.1 “ไม่ดี” ร้อยละ 65.5
- สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 19.7 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 45.3
- ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 7.3 “หางานยาก” ร้อยละ 61.2
- ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 7.5 “หางานยาก” ร้อยละ 56.7
- รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 19.7 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 23.0
ดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภคในเดือนมิถุนายน 2554 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่น ทางเศรษฐกิจซึ่งมีผล ต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา) คือ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 11.9 เป็น 16.6* ภาคเหนือ จาก 20.8 เป็น 24.5* ภาคตะวันออก จาก 8.8 เป็น 9.7* และภาคใต้ จาก 25.9 เป็น 35.9* เนื่องจากมีการขยายมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนต่อไปอีกระยะหนึ่ง อีกทั้งประชาชนมีความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดใหม่ที่ได้มาจากการเลือกตั้งว่าสามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้ทุกฝ่ายมีความปรองดอง ซึ่งจะส่งผลให้บ้านเมืองมีความสงบและประชาชน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ส่วนภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง คือ ภาคกลาง จาก 18.7 เป็น 18.1* และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 26.4 เป็น 24.1* เนื่องจากราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพและราคาน้ำมันภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ค่าครองชีพ การว่างงาน เศรษฐกิจทั่วไป คอรัปชั่น และยาเสพติดตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าและราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ค่าครองชีพ
ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาสินค้าและเศรษฐกิจทั่วไป
ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ภาคใต้ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
1. ติดตามดูแลและปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจให้อยู่ในภาวะที่สมดุลและเป็นธรรม เนื่องจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพมีแนวโน้มที่สูงขึ้นมากซึ่งประชาชนไม่สามารถแบกรับภาระได้ในระยะยาว
2. สร้างความสามัคคีและปรองดองเพื่อให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยทุกฝ่ายต้องมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน รวมทั้งแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ที่เป็นตัวบ่อนทำลายโครงสร้างและระบบเศรษฐกิจของประเทศ
3. ดูแลสวัสดิการประกันสังคมและสวัสดิการผู้สูงอายุ/ผู้พิการให้เหมาะสมและพอเพียง รวมทั้งเพิ่มเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ
4. แก้ไขปัญหาทางด้านสังคม ยาเสพติดและอาชญากรรม โดยรัฐบาลควรปราบปรามอย่างจริงจังเพื่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน
5. ดำเนินโครงการประกันรายได้หรือโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรม และมีรายได้ที่เพียงพอกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน
---------------------------------------
ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชน นักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า สำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th