แนวนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ส่งผลทางจิตวิทยาเชิงบวก ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฎาคม 2554 ของประเทศ ทั้งส่วนกลาง(กรุงเทพฯและปริมณฑล) และภูมิภาคทั้ง 5 ภาค ยังอยู่ในระดับต่ำ ปัญหาที่ผู้บริโภคกังวลมากที่สุด คือ ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน และค่าครองชีพ
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนกรกฎาคม 2554 ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมของทั้งประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 21.2 เป็น 30.6* โดยค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ราคาอาหารและพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอาจก่อให้เกิดหนี้สินในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตามความเชื่อมั่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากแนวนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ส่งผลทางจิตวิทยาเชิงบวก ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมของปีที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 21.2 เป็น 30.6* เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้นมีเทียบกับปีที่ผ่านมา ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 10.3 เป็น 18.8* เนื่องจากประชาชนมีความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะสามารถดำเนินนโยบายต่างๆเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3 เดือน) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 28.5 เป็น 38.4* เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศยังมีแนวโน้มการขยายตัว แต่ผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของกลุ่มประเทศยูโรโซนและสหรัฐอเมริกาที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในระยะยาวได้
เมื่อพิจารณาราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศของเดือนกรกฎาคม 2554 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน(แก๊สโซฮอล์ 95) ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากราคาลิตรละ 37.14 บาท เป็น 38.14 บาท ส่วนน้ำมันดีเซล มีราคาคงตัวอยู่ที่ราคาลิตรละ 29.99 บาท( ที่มา:บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) )
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
- สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 15.2 “ไม่ดี” ร้อยละ 57.3
- สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 28.5 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 38.2
- ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 11.7 “หางานยาก” ร้อยละ 58.4
- ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 12.3 “หางานยาก” ร้อยละ 54.0
- รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 26.2 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 22.2
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม 2554 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งมีผล ต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาทุกภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 16.0 เป็น 33.0* ภาคกลาง จาก 18.7 เป็น 26.2* ภาคเหนือ จาก 22.7 เป็น 25.5* ภาคตะวันออก จาก 9.7 เป็น 20.8* ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 22.4 เป็น 35.1* และภาคใต้ จาก 32.5 เป็น 36.4* เนื่องจาก ประชาชนคาดหวังต่อแนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ว่าสามารถช่วยให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีคาดหวังต่อแนวนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรและมาตรการต่างๆที่จะช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ค่าครองชีพ เศรษฐกิจทั่วไป การว่างงาน คอรัปชั่น และยาเสพติด ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าและราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ค่าครองชีพ
ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาสินค้าและเศรษฐกิจทั่วไป
ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าและราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ค่าครองชีพ
ภาคใต้ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
1. แก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้อยู่ในภาวะที่สมดุล เนื่องจากปัจจุบันราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและอาจก่อให้เกิดหนี้สินในระยะยาวได้
2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
3. ปราบการทุจริต/คอรัปชั่น แก้ไขปัญหาทางด้านสังคม ยาเสพติดและอาชญากรรม โดยรัฐบาลควรปราบปรามอย่างจริงจังเพื่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน
4. ดูแลสวัสดิการประกันสังคมและสวัสดิการผู้สูงอายุ/ผู้พิการให้เหมาะสมและพอเพียง รวมทั้งเพิ่มเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ
5. ดำเนินโครงการประกันรายได้หรือโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรมและมีรายได้ที่เพียงพอกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน
6. ดูแลราคาสินค้าพืชผลทางการเกษตรไม่ให้มีราคาตกต่ำ รวมทั้งดูแลและสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้
---------------------------------------
หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชน นักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า สำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th