ภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นส่งผลให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคม 2554 ของประเทศ ทั้งส่วนกลาง(กรุงเทพฯและปริมณฑล) และภูมิภาคทั้ง 5 ภาค ยังอยู่ในระดับต่ำ ปัญหาที่ผู้บริโภคกังวลมากที่สุด คือ ราคาสินค้า ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนสิงหาคม 2554 ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมของทั้งประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 29.1 เป็น 30.0* โดยค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาสินค้ากลุ่มอาหารและพลังงาน ส่งผลให้ภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมของปีที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 21.9 เป็น 30.0* เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจภายในประเทศและตัวเลขการส่งออกมีการขยายตัวทำให้ภาคการเกษตรมีรายได้สูงขึ้น ส่งผลให้การจ้างงานสูงขึ้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวลดลงจาก 16.9 เป็น 15.7* เนื่องจากประชาชนมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของไทยที่อาจจะได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก อีกทั้งปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ได้สร้างความเดือดร้อนและความเสียหายให้กับประชาชนและเกษตรกร
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3 เดือน) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 37.2 เป็น 39.6* เนื่องจากรัฐบาลมี นโยบายต่างๆเพื่อลดรายจ่ายและเพื่อรายได้ให้กับประชาชน รวมทั้งดูแลค่าครองชีพและยกระดับราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น ส่งผลให้ประชาชนมีความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น
เมื่อพิจารณาราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศของเดือนสิงหาคม 2554 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน 91 ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 43.04 บาท เป็น 35.37 บาท ราคาน้ำมันเบนซิน(แก๊สโซฮอล์ 95) ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 38.14 บาท เป็น 35.37 บาท ส่วนน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 29.99 บาท เป็น 26.99 บาท ( ที่มา:บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) )
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
- สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 12.3 “ไม่ดี” ร้อยละ 59.4
- สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 28.9 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 36.9
- ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 9.4 “หางานยาก” ร้อยละ 57.1
- ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 10.9 “หางานยาก” ร้อยละ 52.6
- รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 26.5 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 19.4
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนสิงหาคม 2554 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งมีผล ต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา) คือ ภาคเหนือ จาก 25.5 เป็น 31.6* ภาคตะวันออก จาก 22.0 เป็น 26.6* และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 31.2 เป็น 41.9* เนื่องจากประชาชนมีความมั่นใจและเชื่อมั่นต่อรัฐบาลชุดใหม่ในการที่จะสามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายลดค่าครองชีพเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ส่วนภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง คือ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 28.3 เป็น 24.9* ภาคกลาง จาก 29.3 เป็น 25.7* และภาคใต้ จาก 34.0 เป็น 27.4* เนื่องจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงอยู่ในระดับสูงส่งผลให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ค่าครองชีพ เศรษฐกิจทั่วไป การว่างงาน คอรัปชั่น และยาเสพติด ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคใต้ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
1. แก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้อยู่ในภาวะที่สมดุล เนื่องจากปัจจุบันราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มที่สูงขึ้น
2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนโดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
3. ปราบการทุจริต/คอรัปชั่น แก้ไขปัญหาทางด้านสังคม ยาเสพติดและอาชญากรรม โดยรัฐบาลควรปราบปรามอย่างจริงจังเพื่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน
4. ดูแลสวัสดิการประกันสังคมและสวัสดิการผู้สูงอายุ/ผู้พิการให้เหมาะสมและพอเพียง รวมทั้งเพิ่มเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ
5. ดำเนินโครงการประกันรายได้หรือโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรมและมีรายได้ที่เพียงพอกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน
6. ดูแลราคาสินค้าพืชผลทางการเกษตรไม่ให้มีราคาตกต่ำ สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ อีกทั้งเตรียมความพร้อมของภาคการพาณิชย์และอุตสาหกรรมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
7. ประชาชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินนโยบายและโครงการต่างๆอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม
---------------------------------------
ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชน นักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า สำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th