การส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัว
ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ส่งออก จำนวน 201 ราย ได้ผลดังนี้
ดัชนีมูลค่าส่งออก ในเดือนตุลาคม 2554 มีค่าเท่ากับ 36.9 สินค้าที่มีมูลค่าส่งออก ลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผักผลไม้สด แช่เย็นแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ยางพารา อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง เชื้อเพลิงและพลังงาน เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าส่งออก เพิ่มขึ้น ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รองเท้าและชิ้นส่วน
ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ ในเดือนตุลาคม 2554 มีค่า 40.2 สินค้าที่มีคำสั่งซื้อใหม่ ลดลง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้าและชิ้นส่วน สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ผักผลไม้สด แช่เย็นแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ยางพารา อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง เชื้อเพลิงและพลังงาน เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนสินค้าที่มูลค่าคำสั่งซื้อใหม่ เพิ่มขึ้น ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป
ดัชนีการจ้างงานในเดือนตุลาคม 2554 มีค่าเท่ากับ 44.9 แสดงว่าการจ้างงานภาคการส่งออกชะลอตัวลง
ดัชนีสินค้าคงคลังในเดือนตุลาคม 2554 มีค่า 43.9 มูลค่า สินค้าคงคลังที่ ลดลง ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าสาเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและชิ้นส่วน อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนมูลค่าสินค้าคงคลังที่ เพิ่มขึ้น ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ยางพารา เชื้อเพลิงและพลังงาน
ปัญหา
- ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
- ขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ และไร้ฝีมือ
- ขาดแคลนวัตถุดิบในประเทศและนอกประเทศ
- ระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าสูงขึ้นจากภาวะน้ำท่วม
- วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลต่อการสั่งซื้อสินค้า
ภาครัฐควรดำเนินการ ดังนี้
- รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท
- เร่งจัดการและฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย
- หาแหล่งเงินทุนให้ผู้ประกอบการโดยเร็วทั้งอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
- ปรับปรุงพิธีการนำเข้า-ส่งออกให้ยืดหยุ่นมากขึ้น
หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีภาวะธุรกิจส่งออกจะมีการปรับปรุงข้อมูลดัชนีย้อนหลัง 1 เดือน
1. กลุ่มสินค้าเป้าหมายที่ทำการสำรวจ มีจำนวน 86 กลุ่มสินค้า
2. การคำนวณดัชนี เป็นดัชนีการกระจาย (Diffusion Index) ซึ่งเป็นดัชนีที่มีคุณสมบัติเด่นในการเป็นตัวชี้นำ (leading indicator) และแสดงทิศทางการเติบโต (growth) ของภาวะธุรกิจ จากการ แปลงข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative) ให้เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative) โดยกำหนดค่าคำตอบที่ได้รับจากผู้ตอบแบบสอบถาม คือ เพิ่มขึ้นให้คะแนน เท่ากับ 1 เท่าเดิมให้คะแนน เท่ากับ 0.5 และ ลดลงให้คะแนนเท่ากับ 0 จากนั้นนำคะแนนทั้งหมดมารวมกัน หารด้วยจำนวนผู้ตอบแบบทั้งหมด แล้วคูณด้วย 100 จะได้ดัชนีของแต่ละคาบเวลา ดัชนีจะมีค่าสูงสุดเท่ากับ 100 และค่าต่ำสุดเท่ากับ 0
3. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อแสดงทิศทางเศรษฐกิจภาคการส่งออก ใช้เส้นค่า 50 (break even point) เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ถ้าผลการคำนวณดัชนีอยู่เหนือเส้น50 แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจดีขึ้น ถ้าดัชนีอยู่ใกล้แนวเส้น 50แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจไม่เปลี่ยนแปลง และถ้าดัชนีอยู่ใต้เส้น 50 แสดงว่านักธุรกิจมองว่าธุรกิจแย่ลง
ทั้งนี้ ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว หากดัชนีตัดแนวเส้น 50 ลงมา หมายถึง ภาวะธุรกิจแย่ลงหรือชะลอตัว สำหรับในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ถ้าดัชนีตัดแนวเส้น 50 ขึ้นไป แสดงว่าภาวะธุรกิจดีขึ้นหรือขยายตัว
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โทร.0 2507 5811-13, โทรสาร 0 2507 5806,0 2507 5825
www.price.moc.go.thEmail: [email protected]