ความเสียหายจากน้ำท่วมสร้างความวิตกกังวลและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน 2554 ของประเทศ ทั้งส่วนกลาง(กรุงเทพฯและปริมณฑล) และภูมิภาคทั้ง 5 ภาคยังอยู่ใน ระดับต่ำ ส่วนปัญหาที่ผู้บริโภคมีความกังวลมากที่สุด คือ ราคาสินค้า ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนพฤศจิกายน 2554 ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมของทั้งประเทศปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 23.8 เป็น 19.1*โดยค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ เนื่องจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินบ้านเรือนของประชาชน ทั้งยังส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งต้องจมอยู่ใต้น้ำได้รับความเสียหาย แรงงานตกอยู่ในภาวะว่างงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศที่มูลค่ามหาศาลและอาจเป็นปัจจัยลบต่อเนื่องที่จะกระทบถึงต้นปี 2555 ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนของปีที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงจาก 24.9 เป็น 19.1* เนื่องจากความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้ได้สร้างความหวาดกลัวและวิตกกังวลแก่ผู้ประสบภัย อีกทั้งยังบั่นทอนจิตใจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมทั้งกระทบต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจของประเทศ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวลดลงจาก 15.3 เป็น 11.2* เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมยังคงสร้างความเสียหายในพื้นที่หลายจังหวัด รวมทั้งปัจจัยลบที่มาจากความเสี่ยงและความผันผวนจากเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะของหลายประเทศในยุโรป
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3 เดือน) ปรับตัวลดลงจาก 29.5 เป็น 24.4* เนื่องจากแรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ คาดว่าจะประสบกับปัญหาการว่างงานตามมา รวมทั้งประชาชนส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นภายหลังน้ำลด เช่น ค่าซ่อมแซมและฟื้นฟูที่พักอาศัย ฯลฯ
เมื่อพิจารณาราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศของเดือนพฤศจิกายน 2554 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน 91 ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 36.37 บาท เป็น 34.57 บาท และน้ำมันเบนซิน(แก๊สโซฮอล์ 95) ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 36.37 บาท เป็น 33.29 บาท ส่วนน้ำมัน ดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาลิตรละ 27.99 บาท เป็น 29.49 บาท ( ที่มา:บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) )
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
- สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 10.8 “ไม่ดี” ร้อยละ 70.5
- สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 16.9 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 53.3
- ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 6.8 “หางานยาก” ร้อยละ 68.5
- ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 7.7 “หางานยาก” ร้อยละ 61.7
- รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 19.6 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 31.9
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายน 2554 เทียบกับเดือนตุลาคม 2554 มีภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 18.8 เป็น 19.0* ภาคกลาง จาก 11.9 เป็น 13.9* ส่วนภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง คือ ภาคเหนือ จาก 27.7 เป็น 20.2* ภาคตะวันออก จาก 22.2 เป็น 10.2* ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 37.2 เป็น 29.2* และภาคใต้ จาก 20.1 เป็น 14.4* อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ เนื่องจากประชาชนในหลายจังหวัดได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อภาคการผลิต ภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งทรัพย์สินและพื้นที่ การเกษตร โดยส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาวะการจ้างงาน และอาจก่อให้เกิดปัญหาสังคม/ปัญหาอาชญากรรมตามมาในอนาคต
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ค่าครองชีพ การว่างงาน เศรษฐกิจทั่วไป คอรัปชั่น และยาเสพติด ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ค่าครองชีพและเศรษฐกิจทั่วไป
ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและเศรษฐกิจทั่วไป
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคใต้ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
1. ดูแลและควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงจนเกินไป รวมทั้งปัญหาการว่างงานและค่าแรงขั้นต่ำ
2. เร่งฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างเร่งด่วน อีกทั้งวางแผนเพื่อป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว จัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
3. หามาตรการช่วยเหลือภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม รวมทั้งผู้ประกอบการต่างๆที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างเร่งด่วน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
4. ปราบปรามการทุจริต/คอรัปชั่น แก้ไขปัญหาทางด้านสังคม ยาเสพติดและอาชญากรรม โดยรัฐบาลควรปราบปรามอย่างจริงจัง เพื่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน
5. ประชาชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินนโยบายและโครงการต่างๆอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม อีกทั้งดูแลสวัสดิการประกันสังคมและสวัสดิการผู้สูงอายุ/ผู้พิการให้เหมาะสมและพอเพียง รวมทั้งเพิ่มเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ
6. สร้างงานสร้างอาชีพให้กับประชาชนรวมทั้งพัฒนาฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับภาวะตลาดแรงงานในปัจจุบัน
7. ดูแลราคาสินค้าทางการเกษตรไม่ให้มีราคาตกต่ำ และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้
---------------------------------------
ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชน นักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า สำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th