ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากผ่านช่วงวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคม 2554 ของประเทศ ทั้งส่วนกลาง(กรุงเทพฯและปริมณฑล) และภูมิภาคทั้ง 5 ภาคยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนปัญหาที่ผู้บริโภคมีความกังวลมากที่สุด คือ ราคาสินค้า ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนธันวาคม 2554 ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 18.5 เป็น 21.4*โดยค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ทั้งนี้ค่าดัชนีมีทิศทางการปรับตัวที่ดีขึ้นภายหลังจากเกิดวิกฤติอุทกภัยน้ำท่วมที่ผ่านมา ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภครวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยจากการซ่อมแซมบ้านเรือนของประชาชนและนโยบายการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการในเดือนมกราคม 2555 ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงจาก 23.8 เป็น 21.4* เนื่องจากผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ที่ยาวนานกว่า 3 เดือน ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ระบบเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม อีกทั้งปัจจัยลบด้านการเมืองภายในประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนชาวต่างชาติ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 10.6 เป็น 11.7* จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความกังวลต่อชีวิตความเป็นอยู่ สภาวะเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองภายในประเทศ รวมทั้งปัจจัยลบด้านความผันผวนของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่มีแนวโน้มของการฟื้นตัว
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3 เดือน) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 23.7 เป็น 27.9* เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีความหวังต่อนโยบายของรัฐบาลในการเข้ามาช่วยเหลือและเยียวยาเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจและเร่งแก้ไขปรับปรุงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนหลังจากหลายพื้นที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
- สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 10.4 “ไม่ดี” ร้อยละ 67.3
- สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 19.7 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 46.4
- ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 7.4 “หางานยาก” ร้อยละ 66.6
- ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 7.3 “หางานยาก” ร้อยละ 60.9
- รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 21.5 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 28.2
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคม 2554 เทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2554 ทุกภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนี้ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 16.0 เป็น 19.0* ภาคกลาง จาก 12.2 เป็น 12.7* ภาคเหนือ จาก 19.2 เป็น 23.8* ภาคตะวันออก จาก 13.5 เป็น 18.4* ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 29.6 เป็น 34.3* และภาคใต้ จาก 14.4 เป็น 20.8* อย่างไรก็ตาม ในทุกภาคยังมีค่าดัชนีต่ำกว่าที่ระดับ 50 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ แม้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายและเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งนโยบายการพัฒนาและฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่รัฐบาลเร่งผลักดันช่วยเหลือประชาชนส่งผลให้ในหลายพื้นที่มีสถานการณ์ที่ดีขึ้น แต่ในภาพรวมประชาชนยังมีความวิตกกังวลต่อเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมือง
- หมายเหตุ : การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะมีการปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังทุกเดือน ซึ่งจะรายงานในเดือนถัดไป
ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ค่าครองชีพ การว่างงาน เศรษฐกิจทั่วไป คอรัปชั่น และยาเสพติด ตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ค่าครองชีพและการว่างงาน
ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคใต้ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
1. ดูแลและควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงจนเกินไป รวมทั้งปัญหาการว่างงานและค่าแรงขั้นต่ำ
2. สร้างงานสร้างอาชีพให้กับประชาชน รวมทั้งเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน
3. เร่งฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมและหาแนวทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
4. ต้องการให้รัฐบาลหาแนวทางการจัดการ รวมทั้งแผนรองรับน้ำท่วมอย่างชัดเจน
5. ปราบปรามการทุจริต/คอรัปชั่น แก้ไขปัญหาทางด้านสังคม ยาเสพติดและอาชญากรรม โดยรัฐบาลควรปราบปรามอย่างจริงจัง เพื่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน
6. ประชาชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินนโยบายและโครงการต่างๆอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม อีกทั้งดูแลสวัสดิการประกันสังคมและสวัสดิการผู้สูงอายุ/ผู้พิการให้เหมาะสมและพอเพียง รวมทั้งเพิ่มเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ
7. ดูแลราคาสินค้าทางการเกษตรไม่ให้มีราคาตกต่ำ และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้
---------------------------------------
ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชน นักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า สำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th