ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากระดับ 51.3 มาอยู่ที่ระดับ 51.2
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม 2562 โดยรวม อยู่ที่ระดับ 51.2 ปรับตัวลดลงจากเดือนเมษายน 2562 เล็กน้อย แต่ยังอยู่ในช่วงความเชื่อมั่นมากกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 (เดือนมกราคม 2562 อยู่ในช่วงความเชื่อมั่นเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี 10 เดือน) จำแนกเป็น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน (อยู่ที่ระดับ 44.2) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (อยู่ที่ระดับ 55.9) ชี้ว่า แม้ในภาวะปัจจุบันผู้บริโภคยังไม่ค่อยเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังมีมุมมองที่ดีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า
โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 44.8 มาอยู่ที่ 44.2 สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความมั่นใจต่อภาวะเศษฐกิจในปัจจุบันลดลง สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยด้านกำลังซื้อ ราคาสินค้าและบริการ และความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 55.6 เป็น 55.9 จากการคาดหวังว่าเศรษฐกิจในอนาคตจะดีขึ้น โดยคาดหวังจากการบริหารงานของรัฐบาลใหม่ตามนโยบายที่หาเสียงไว้จะส่งผลดีทั้งด้านภาวะเศรษฐกิจ รายได้ และการหางานทำ
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ปรับตัวลดลงทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ปัจจุบัน และอนาคต โดยเฉพาะความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน ปรับตัวลดลงจากระดับ 52.5 มาอยู่ที่ระดับ 45.3 ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต ปรับตัวลดลงจากระดับ 62.9 มาอยู่ที่ระดับ 60.9 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ลดลงจากระดับ 58.7 มาอยู่ที่ระดับ 54.47 แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้เชี่ยวชาญยังมีความเชื่อมั่นค่อนข้างสูงทั้งในระดับภาพรวม และในอนาคต
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนพฤษภาคม 2562 จำแนกรายอาชีพ พบว่า กลุ่มอาชีพที่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มพนักงานของรัฐ (ระดับ 55.1) กลุ่มผู้ประกอบการ (ระดับ 52.5) กลุ่มเกษตรกร (ระดับ 51.4) และกลุ่มพนักงานเอกชน (ระดับ 50.4) ในขณะที่กลุ่มอื่นๆ ยังไม่เชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ได้แก่ กลุ่มรับจ้างอิสระ (ระดับ 49.2) กลุ่มนักศึกษาและกลุ่มไม่ได้ทำงาน (ระดับ 47.5) เป็นที่น่าสังเกตว่า ความเชื่อมั่นของกลุ่มนักศึกษาปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งเป็นผลจากความไม่มั่นใจในโอกาสในการหางานทำในอนาคต
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนพฤษภาคม 2562 จำแนกรายภาค พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในระดับความเชื่อมั่น ยกเว้นภาคเหนือและภาคใต้ที่ยังไม่เชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งภาคที่มีความเชื่อมั่นสูงสุดคือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 52.5 เท่ากัน นอกจากนี้ พบว่าทุกภาคดัชนีปรับตัวลดลง โดยภาคกลางลดลงจาก 52.9 เป็น 52.5 ภาคเหนือลดลงจาก 50.1 เป็น 49.5 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงจาก 54.1 เป็น 52.5 และภาคใต้ลดลงจาก 50.8 เป็น 49.5 ยกเว้นกรุงเทพฯและปริมณฑลที่สูงขึ้นจาก 47.2 เป็น 50.9 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2562 ซึ่งคาดว่าภาระค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอมประกอบกับเหตุผลทางด้านการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังไม่มีความแน่ชัด น่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคส่วนใหญ่ของประเทศปรับตัวลดลง
การซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต ผลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค 7 กลุ่มอาชีพทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 10,000 ตัวอย่าง พบว่า ผู้บริโภคร้อยละ 25.4 เคยซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้ที่ไม่เคยซื้อคิดเป็นร้อยละ 74.6 นอกจากนี้ยังพบว่าผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิง คิดเป็นร้อยละ 70.5 ในขณะที่เพศชายมีการสินค้าทางอินเทอร์เน็ตเพียงร้อยละ 29.5
การซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตจำแนกตามกลุ่มอาชีพ จากผลการสำรวจพบว่า กลุ่มนักศึกษามีสัดส่วนการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 38.43 รองลงมาได้แก่ กลุ่มพนักงานเอกชนและกลุ่มพนักงานของรัฐ คิดเป็นร้อยละ 36.64 และ 35.58 ตามลำดับ ในขณะที่กลุ่มเกษตรกร มีสัดส่วนการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตต่ำที่สุด คิดเป็นร้อยละ 12.43 เป็นที่น่าสังเกตว่าถึงแม้จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการซื้อ-ขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตจะมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น แต่ความนิยมจะยังอยู่เฉพาะบางกลุ่มอาชีพเท่านั้น
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0-2507-5850 โทรสาร. 0-2507-5825