ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนธันวาคม 2562 ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 44.5 เท่ากับเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 39.0 มาอยู่ที่ระดับ 39.4 ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากระดับ 48.2 มาอยู่ที่ระดับ 48.0 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันที่ปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าเป็นผลมาจากมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมาเพิ่มเติมในช่วงปลายปี ประกอบกับการขับเคลื่อนการลงทุนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเพิ่มสูงขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมปี 2562เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 48.4 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 41.8 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตอยู่ที่ระดับ 52.8 เป็นที่น่าสังเกตว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมในช่วง 5 เดือนแรกอยู่ในช่วงเชื่อมั่นแต่เริ่มลดลงต่ำกว่า 50 ในช่วงหลังจากนั้นจนถึงปลายปี อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตแม้จะมีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกัน แต่โดยเฉลี่ยทั้งปียังอยู่ในช่วงเชื่อมั่น โดยปัจจัยด้านลบที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือน การแข็งค่าของเงินบาท เสถียรภาพทางการเมือง การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน สำหรับปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ด้าน อาทิ มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพเช่น การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้อายุ มาตรการด้านการเกษตรเช่น โครงการประกันรายได้เกษตรกร การขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้เกษตรกรในพื้นที่ภัยแล้ง มาตรการกระตุ้นการบริโภคเช่น โครงการชิมช้อปใช้ มาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ และโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก เป็นต้นนอกจากนี้คาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 จะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในปี 2563 ขยายตัวได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
เมื่อพิจารณาจำแนกรายอาชีพ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร (ระดับ 45.5) กลุ่มผู้ประกอบการ (ระดับ 45.9) กลุ่มรับจ้างอิสระ (ระดับ 42.8) กลุ่มพนักงานของรัฐ (49.0) และกลุ่มไม่ได้ทำงาน (42.4) สำหรับกลุ่มพนักงานเอกชนและกลุ่มนักศึกษาดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 42.6 และ 42.2 ตามลำดับ โดยสาเหตุหลักมาจากเรื่องโอกาสในการไม่มีงานทำ ซึ่งคาดว่ากระแสข่าวเรื่องการปิดกิจการและการเลิกจ้างงานที่มีอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของกลุ่มพนักงานเอกชนและกลุ่มนักศึกษา
เมื่อพิจารณารายภูมิภาค พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 44.1 46.7 44.2 มาอยู่ที่ระดับ 44.4 46.7 และ 45.0 ตามลำดับ สำหรับภาคกลาง ทรงตัวที่ระดับ 46.3 มีเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ดัชนีปรับตัวลดลงจากระดับ 41.0 มาอยู่ที่ระดับ 40.5
ช่องทางในการซื้อสินค้าออนไลน์จากผลการสำรวจพบว่าผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าออนไลน์ที่Lazadaมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ30.1รองลงมาได้แก่Shopeeคิดเป็นร้อยละ25.3 และFacebookคิดเป็นร้อยละ18.6
เหตุผลในการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีเหตุผลในการซื้อ คือ ความสะดวก ราคาถูก และสินค้ามีความหลากหลาย คิดเป็นร้อยละ 32.6 22.2 และ 19.5 ตามลำดับ
ที่มา: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์