สถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงเปราะบาง กระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนกรกฎาคม 2553 จำนวน 1,893 ราย ปรากฏว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมของทั้งประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา จาก 19.9 เป็น 20.0 ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในระดับต่ำ รวมทั้งยังระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยสะท้อนได้จากค่าดัชนีที่ต่ำกว่า 50 เนื่องจากความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ รวมทั้งราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมของปีที่ผ่านมา ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 10.1 เป็น 20.0 เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่สำคัญมีทิศทางการฟื้นตัวอย่างชัดเจน พิจารณาได้จากการส่งออกของไทยยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ปัจจุบันพบว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 11.1 เป็น 11.2 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันยังคงเปราะบาง อย่างไรก็ตามพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยที่ขึ้นอยู่กับภาคการส่งออกและภาคการเกษตรเป็นหลักมีผลให้โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยสำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ในอนาคต (3เดือน) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 25.7 เป็น 25.9 เนื่องจาก
ผลผลิตทางการเกษตรมีทิศทางที่ดีขึ้น และราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับแนวโน้มการส่งออกที่ดีขึ้นตามความต้องการของตลาดโลก
เมื่อพิจารณาราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศของเดือนกรกฎาคม 2553 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน (แก๊สโซฮอล์ 95) ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 32.44 บาท เป็น 31.84 บาท ส่วนน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลงจากราคาลิตรละ 27.99 บาท เป็น 27.39 บาท
- สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันผู้บริโภครู้สึกว่า “ดีขึ้น” ร้อยละ 9.3 “ไม่ดี” ร้อยละ 63.2
- สถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 17.9 “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 42.0
- ภาวการณ์หางานทำในปัจจุบันประเมินว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 6.9 “หางานยาก” ร้อยละ 65.4
- ภาวการณ์หางานทำในอนาคตคาดว่า “หางานง่าย” ร้อยละ 7.5 “หางานยาก” ร้อยละ 60.0
- รายได้ในอนาคต “คาดว่าจะดีขึ้น” ร้อยละ 16.9 และ “คาดว่าจะไม่ดี” ร้อยละ 29.2
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม 2553 ปรากฏว่า ประชาชนในทุกภาคยังขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจซึ่งมีผลต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น (เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา) คือ กรุงเทพฯ/ปริมณฑล จาก 13.2 เป็น 19.0 ภาคเหนือ จาก 19.7 เป็น 21.1 และภาคตะวันออก จาก 16.8 เป็น 22.1 เป็นผลมาจากราคาและผลผลิตทางการเกษตรมีทิศทางที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับแนวโน้มการส่งออกที่ดีขึ้นตามความต้องการของตลาดโลก
ส่วนภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง คือ ภาคกลาง จาก 21.2 เป็น 17.4 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก 21.6 เป็น 19.8 และภาคใต้จาก 24.6 เป็น 22.6 เนื่องจากวิกฤติภัยแล้งในพื้นที่การเกษตรหลายแห่ง ความแปรปรวนของสภาพอากาศ ฝนทิ้งช่วงและปริมาณน้ำฝนที่ตกส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณพื้นที่ใต้เขื่อนส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนอยู่ในขั้นวิกฤติ ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อภาคการเกษตรประชาชนได้รับความเดือดร้อนผลผลิตทางการเกษตรลดต่ำลง
ผู้บริโภคในทุกพื้นที่ ต้องการให้แก้ไขปัญหา ราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ค่าครองชีพ เศรษฐกิจทั่วไป การว่างงาน คอรัปชั่น และยาเสพติดตามลำดับ เมื่อพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า ผู้บริโภคต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาดังนี้
กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคกลาง ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ราคาน้ำมันและเศรษฐกิจทั่วไป
ภาคตะวันออก ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาสินค้าและการว่างงาน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
ภาคใต้ ต้องการให้แก้ไขปัญหาราคาสินค้าเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ราคาน้ำมันและค่าครองชีพ
1. ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงเกินไปและให้สอดคล้องกับรายได้ที่แท้จริง
2. เร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประเทศ และสร้างความเท่าเทียมกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
3. ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาหนี้นอกระบบ/ ผู้มีอิทธิพลเถื่อน และปัญหาการคอรัปชั่น
4. ดูแลราคาสินค้าเกษตร เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่แท้จริงและเป็นธรรม รวมทั้งพัฒนาระบบชลประทานอย่างเป็นรูปธรรม
5. ปรับค่าจ้างและค่าแรงขั้นต่ำ ให้เหมาะสมกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นมาก
6. สร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักลงทุน ฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศและภาคการท่องเที่ยว
---------------------------------------
ระดับของค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 โดยมีเกณฑ์การอ่านค่า ดังนี้
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 100 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ดี”
- ดัชนีมีค่า เข้าใกล้ 0 หมายถึง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ “ไม่ดี”
1. การจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสะท้อนอำนาจการซื้อของประชาชนในประเทศ ซึ่งพิจารณาจากรายได้ที่แต่ละบุคคลได้รับ โดยใช้หลักการแบ่งกลุ่มอาชีพเป็นการกำหนดรายได้ของประชากรซึ่งใช้ข้อมูลพื้นฐานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มอาชีพดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน กำลังศึกษา เกษตรกร รับจ้างรายวัน/รับจ้าง พนักงานเอกชน นักธุรกิจ และข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
2. การนำไปใช้ประโยชน์ เพื่อสะท้อนให้เห็นอำนาจซื้อที่เกิดขึ้นจริงของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา ใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับเป็นแนวทางในการวางแผนและนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐและเอกชน
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร.0-2507-6553 Fax.0-2507-5806 www.price.moc.go.th