แท็ก
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงคมนาคม
คณะรัฐมนตรี
เคมี
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2550-2554) และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติฯ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2550-2554) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยให้รับข้อคิดเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงคมนาคมไปพิจารณาในรายละเอียด ดังนี้
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ว่า ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ควรเพิ่มวัตถุประสงค์ในการควบคุมและกำจัดของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม มีกลไกที่ดีในการขนย้ายของเสียอันตรายและป้องกันการทิ้งของเสียอันตรายในที่สาธารณะ รวมทั้งการแพร่กระจายของสารพิษจากของเสียอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม และในยุทธศาสตร์ที่ 3 ควรจัดให้มีศุนย์ข้อมูลพิษวิทยาของสารเคมีในท้องถิ่นโดยอยู่ในความดูแลขององค์กรส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสารพิษที่ปนเปื้อนที่อยู่ในพืชและสัตว์ในท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ลดอัตราการตายของคนในชุมชนที่รับประทานสารพิษโดยไม่รู้เท่าทัน รวมทั้งให้ข้อมูลแก่โรงพยาบาลประจำตำบล/อำเภอ เพื่อการแก้ไขผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษได้ทันทีโดยจัดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านารพิษประจำท้องที่ ที่ผ่านการฝึกอบรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ควรให้ประชาชนในท้องถิ่นจัดกลุ่มเฉพาะกิจในการเฝ้าระวังอันตรายจากการใช้สารเคมี โดยจัดทำคู่มือการป้องกันสารเคมีที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ หรือทราบแน่ชัด (Precaution) เป็นการล่วงหน้า แทนการป้องกันแบบ Preventive เช่น การเลิกใช้สารฆ่าแมลงในบางพื้นที่ เป็นต้น
โดยร่างแผนฯ ดังกล่าวทั้ง 2 ฉบับเป็นการบูรณาการจัดการสารเคมีระดับชาติให้มีทิศทางเดียวกัน มีนโยบายเดียวในการบริหารจัดการสารเคมีของประเทศ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) และนโยบายรัฐบาลตามหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งยุทธศาสตร์การดำเนินงานระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการสารเคมี และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยความปลอดภัยด้านสารเคมี ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดสารเคมี
แผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2550-2554) มีสาระสำคัญโดยสรุป
1. เป็นการพัฒนาขึ้นจากการบูรณาการแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านสารเคมีแห่งชาติ และยุทธศาสตร์การดำเนินงานระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการสารเคมี (Strategic Approach to the International Chemicals Management : SAICM) เพื่อให้มีนโยบายเดียว (Single policy) ในการบริหารจัดการสารเคมีของประเทศในการป้องกันอันตรายและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประชาชน
2. เป็นการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบและมีทิศทางที่ต่อเนื่องและตอบสนองบทเรียนจากแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2550-2544) และแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2549) ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นประโยชน์สุขของประชาชนและความยั่งยืนบนพื้นฐานของการพัฒนาประเทศตามหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) คือ “สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน” สอดรับกับยุทธศาสตร์การดำเนินงานระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการสารเคมี (SAICM) ทั้ง 3 ระบบ คือ High level Declaration, Overarching Policy Strategy และ Global Plan of Action : GPA เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millenium Development Goals : MDGs) คือ “ลดการผลิตและใช้สารเคมีในทางที่จะนำไปสู่การลดผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมภายในปี พ.ศ. 2563”
3. มีกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (Multi participatory approach) ลดความซ้ำซ้อน เสริมเติมเต็มการทำงานให้ครอบคลุมทุกประเด็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ รวมทั้งสร้างเสริมศักยภาพของชุมชนและเครือข่ายภาคประชาชนให้เกิดการจัดการสารเคมีของประเทศแบบครบวงจร (Life-cycle of chemicals)
4. แสดงให้เห็นถึงทิศทางและแนวทางการดำเนินงานในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้าที่จะนำประเทศสู่ “สังคมที่ปลอดภัยจากอันตรายด้านสารเคมีสู่การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับสากล” และโดยที่การดำเนินงานในการจัดการสารเคมีจัดเป็นนโยบายสำคัญทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอแก่กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติฯ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2550-2554) มีสาระสำคัญโดยสรุป
1. มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติก่อให้เกิดการจัดการสารเคมีของประเทศที่เป็นระบบและมีทิศทางเดียวกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายและวิสัยทัศน์ตามที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับที่ 3 นอกจากนี้ยังตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นประโยชน์สุขของประชาชนและความยั่งยืนบนพื้นฐานของการพัฒนาประเทศ ตามหลักการ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) คือ “สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน” รวมทั้งสอดรับกับเป้าหมายในแผนปฏิบัติการระดับโลก (Global Plan of Action) ภายใต้ยุทธศาสตร์การดำเนินงานระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการสารเคมี (SAICM) คือ “ลดการผลิตและใช้สารเคมีในทางที่จะนำไปสู่การลดผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมภายในปี พ.ศ. 2563”
2. แผนปฏิบัติการและงบประมาณฉบับนี้พัฒนาขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2548-ตุลาคม พ.ศ. 2549 รวม 1 ปี 1 เดือน ตั้งแต่การทบทวนสถานการณ์การจัดการสารเคมีของประเทศ การประเมินผลสำเร็จการดำเนินงานตามแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2549) การวิเคราะห์แผนปฏิบัติการระดับโลกว่าด้วยการจัดการสารเคมี ประชุมระดมสมองระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฯ ผ่านการกลั่นกรองโดยคณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยความปลอดภัยของสารเคมี และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยความปลอดภัยด้านสารเคมี ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นชื่อคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี
3. กรอบระยะเวลาดำเนินการตามแผนฯ 5 ปี มี 25 หน่วยงานหลักรับผิดชอบ 137 แผนงาน/โครงการ และงบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,127.30 ล้านบาท (ข้อมูลเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 9 มกราคม 2550--จบ--
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ว่า ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ควรเพิ่มวัตถุประสงค์ในการควบคุมและกำจัดของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม มีกลไกที่ดีในการขนย้ายของเสียอันตรายและป้องกันการทิ้งของเสียอันตรายในที่สาธารณะ รวมทั้งการแพร่กระจายของสารพิษจากของเสียอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม และในยุทธศาสตร์ที่ 3 ควรจัดให้มีศุนย์ข้อมูลพิษวิทยาของสารเคมีในท้องถิ่นโดยอยู่ในความดูแลขององค์กรส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสารพิษที่ปนเปื้อนที่อยู่ในพืชและสัตว์ในท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ลดอัตราการตายของคนในชุมชนที่รับประทานสารพิษโดยไม่รู้เท่าทัน รวมทั้งให้ข้อมูลแก่โรงพยาบาลประจำตำบล/อำเภอ เพื่อการแก้ไขผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษได้ทันทีโดยจัดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านารพิษประจำท้องที่ ที่ผ่านการฝึกอบรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ควรให้ประชาชนในท้องถิ่นจัดกลุ่มเฉพาะกิจในการเฝ้าระวังอันตรายจากการใช้สารเคมี โดยจัดทำคู่มือการป้องกันสารเคมีที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ หรือทราบแน่ชัด (Precaution) เป็นการล่วงหน้า แทนการป้องกันแบบ Preventive เช่น การเลิกใช้สารฆ่าแมลงในบางพื้นที่ เป็นต้น
โดยร่างแผนฯ ดังกล่าวทั้ง 2 ฉบับเป็นการบูรณาการจัดการสารเคมีระดับชาติให้มีทิศทางเดียวกัน มีนโยบายเดียวในการบริหารจัดการสารเคมีของประเทศ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) และนโยบายรัฐบาลตามหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งยุทธศาสตร์การดำเนินงานระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการสารเคมี และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยความปลอดภัยด้านสารเคมี ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดสารเคมี
แผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2550-2554) มีสาระสำคัญโดยสรุป
1. เป็นการพัฒนาขึ้นจากการบูรณาการแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านสารเคมีแห่งชาติ และยุทธศาสตร์การดำเนินงานระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการสารเคมี (Strategic Approach to the International Chemicals Management : SAICM) เพื่อให้มีนโยบายเดียว (Single policy) ในการบริหารจัดการสารเคมีของประเทศในการป้องกันอันตรายและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประชาชน
2. เป็นการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบและมีทิศทางที่ต่อเนื่องและตอบสนองบทเรียนจากแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2550-2544) และแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2549) ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นประโยชน์สุขของประชาชนและความยั่งยืนบนพื้นฐานของการพัฒนาประเทศตามหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) คือ “สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน” สอดรับกับยุทธศาสตร์การดำเนินงานระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการสารเคมี (SAICM) ทั้ง 3 ระบบ คือ High level Declaration, Overarching Policy Strategy และ Global Plan of Action : GPA เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millenium Development Goals : MDGs) คือ “ลดการผลิตและใช้สารเคมีในทางที่จะนำไปสู่การลดผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมภายในปี พ.ศ. 2563”
3. มีกระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (Multi participatory approach) ลดความซ้ำซ้อน เสริมเติมเต็มการทำงานให้ครอบคลุมทุกประเด็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ รวมทั้งสร้างเสริมศักยภาพของชุมชนและเครือข่ายภาคประชาชนให้เกิดการจัดการสารเคมีของประเทศแบบครบวงจร (Life-cycle of chemicals)
4. แสดงให้เห็นถึงทิศทางและแนวทางการดำเนินงานในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้าที่จะนำประเทศสู่ “สังคมที่ปลอดภัยจากอันตรายด้านสารเคมีสู่การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับสากล” และโดยที่การดำเนินงานในการจัดการสารเคมีจัดเป็นนโยบายสำคัญทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณอย่างเพียงพอแก่กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติฯ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2550-2554) มีสาระสำคัญโดยสรุป
1. มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติก่อให้เกิดการจัดการสารเคมีของประเทศที่เป็นระบบและมีทิศทางเดียวกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายและวิสัยทัศน์ตามที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับที่ 3 นอกจากนี้ยังตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นประโยชน์สุขของประชาชนและความยั่งยืนบนพื้นฐานของการพัฒนาประเทศ ตามหลักการ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) คือ “สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน” รวมทั้งสอดรับกับเป้าหมายในแผนปฏิบัติการระดับโลก (Global Plan of Action) ภายใต้ยุทธศาสตร์การดำเนินงานระหว่างประเทศว่าด้วยการจัดการสารเคมี (SAICM) คือ “ลดการผลิตและใช้สารเคมีในทางที่จะนำไปสู่การลดผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมภายในปี พ.ศ. 2563”
2. แผนปฏิบัติการและงบประมาณฉบับนี้พัฒนาขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2548-ตุลาคม พ.ศ. 2549 รวม 1 ปี 1 เดือน ตั้งแต่การทบทวนสถานการณ์การจัดการสารเคมีของประเทศ การประเมินผลสำเร็จการดำเนินงานตามแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2549) การวิเคราะห์แผนปฏิบัติการระดับโลกว่าด้วยการจัดการสารเคมี ประชุมระดมสมองระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ฯ ผ่านการกลั่นกรองโดยคณะอนุกรรมการประสานนโยบายและแผนการดำเนินงานว่าด้วยความปลอดภัยของสารเคมี และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยความปลอดภัยด้านสารเคมี ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นชื่อคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี
3. กรอบระยะเวลาดำเนินการตามแผนฯ 5 ปี มี 25 หน่วยงานหลักรับผิดชอบ 137 แผนงาน/โครงการ และงบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,127.30 ล้านบาท (ข้อมูลเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 9 มกราคม 2550--จบ--