คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอดังนี้
1. ไม่ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 ดังนี้
1.1 การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
1.2 การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยานและที่เก็บอากาศยาน (Landing & Parking Fee)
1.3 การประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยกรณีเกิดจลาจล ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มีนาคม 2554
1.4 การปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนา และดูงานในประเทศให้มากขึ้นแทนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนา และดูงานในต่างประเทศ
2. ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 ออกไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2555 ดังนี้
2.1 การลดหย่อนค่าประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม
2.2 ให้ผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายการจัดประชุม สัมมนา อบรม และการจัดการท่องเที่ยวเป็นรางวัลในประเทศแก่พนักงานมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า ของที่จ่ายจริง
3. เพิ่มมาตรการเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยอนุมัติหลักการให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
3.1 ให้เร่งรัดการดำเนินการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและไต้หวันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
3.2 ให้ Visa on Arrival แก่ชาวต่างชาติประเทศต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลาง อาทิ อิหร่าน เลบานอน จอร์แดน เป็นต้น ซึ่งเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก (โดยในปี 2553 ชาวต่างชาติกลุ่มนี้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ดังนี้ อิหร่าน จำนวน 178,291 คน เลบานอน จำนวน 13,866 คน และจอร์แดน จำนวน 9,175 คน) และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการมีส่วนช่วยส่งเสริมความใกล้ชิดและคุ้นเคยระหว่างประชาชนของไทยและประเทศที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเพื่อการท่องเที่ยว ไม่เกิน 15 วัน ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) นอกจากนี้ เป็นการสนับสนุนปฏิสัมพันธ์ในมิติต่าง ๆ ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม โดยดำเนินการเช่นเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ที่เห็นชอบให้บุคคลสัญชาติโรมาเนีย บัลกาเรีย มอลตา อันดอร์รา และซานมาริโน รวม 5 ประเทศ สามารถได้รับการตรวจลงตราเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเพื่อการท่องเที่ยว ไม่เกิน 15 วัน ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival)
3.3 ให้มีการปรับปรุงบริการการตรวจลงตรา ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิให้มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศ
3.4 ควรเปิดสถานกงสุล (ใหญ่) และสถานกงสุล (กิตติมศักดิ์) ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการขออนุญาตเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมทั้งควรขยายระยะเวลาการพำนักอยู่ในประเทศไทยให้แก่นักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
3.5 เพิ่มช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราให้แก่คนพิการและคนชราเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ
3.6 กำชับให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ดำเนินการสนับสนุนให้สถานประกอบการโรงแรมมีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งให้ผู้ประกอบการด้าน Service Apartment ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
3.7 ในการจัดประชุมสัมมนาของหน่วยงานภาครัฐควรใช้บริการผ่านบริษัทนำเที่ยวเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการมากขึ้น
3.8 ภาครัฐไม่ควรจัดบริการนำเที่ยวแข่งขันกับภาคเอกชน
3.9 ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินโครงการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างประเทศ (Transfer Passenger) ต่อไปได้ โดยไม่กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ เนื่องจากผลการดำเนินการประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง มีนักท่องเที่ยวผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 4,337 คน สร้างรายได้ 18,510,940 บาท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 20 เมษายน 2554--จบ--