คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติตามที่สภากาชาดไทยเสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
สภากาชาดไทยรายงานว่า ปัจจุบันสภากาชาดไทยซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยสภากาชาดไทย พระพุทธศักราช 2461 ได้ดำเนินการและขยายกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะกิจกรรมหลักสี่ประการ อันได้แก่ การบริการทางการแพทย์และสุขภาพอนามัย การบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติ การบริการโลหิตและการสังคมสงเคราะห์และส่งเสริมคุณภาพชีวิต แต่กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยให้สภากาชาดไทยปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนให้บรรลุผลสมความมุ่งหมายและจุดประสงค์ตามหลักการกาชาดได้ ดังนั้นสมควรที่จะให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งคณะกรรมการสภากาชาดไทยในการประชุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2550 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทยทรงเป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบด้วย จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยสภากาชาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
1. กำหนดให้สภากาชาดไทยเป็นองค์การสาธารณะกุศลเพื่อมนุษยธรรมในระดับชาติและระดับนานาชาติ ตามหลักการของกาชาดสากล มีสถานภาพเป็นนิติบุคคลที่พึงได้รับการสนับสนุนการดำเนินการจากรัฐ และทรัพย์สินไม่อยู่ในข่ายการบังคับคดี รวมทั้งการบังคับทางปกครอง (ร่างมาตรา 3 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 1/1)
2. กำหนดแหล่งทุนของสภากาชาดไทยให้ครบถ้วน ซึ่งประกอบด้วยเงินอุดหนุนที่รัฐจัดสรรให้ เงินหรือทรัพย์สินบริจาค ค่าบำรุง ค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการ รายได้หรือผลประโยชน์อื่น และให้สภากาชาดไทยเสนอขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อคณะรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนของสภากาชาดไทยไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ร่างมาตรา 4 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 10/1)
3. กำหนดให้รายได้ของสภากาชาดไทยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและการใช้จ่ายรายได้เพื่อกิจการของสภากาชาดไทยให้เป็นไปตามข้อบังคับและข้อระเบียบที่คณะกรรมการสภากาชาดไทยกำหนด (ร่างมาตรา 4 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 10/2)
4. กำหนดให้การบัญชีของสภากาชาดไทยจัดทำตามมาตรฐานทางบัญชีทั่วไป (ร่างมาตรา 4 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 10/3)
5. กำหนดให้สภากาชาดไทยจัดทำงบการเงินของสภากาชาดไทยตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี รวมทั้งแต่งตั้งหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลอื่นใดเป็นผู้สอบบัญชีของสภากาชาดไทย (ร่างมาตรา 4 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 10/4)
6. ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ หนี้ และงบประมาณของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามวัตถุประสงค์สภากาชาดไทยไปเป็นของสภากาชาดไทย (ร่างมาตรา 6)
7. ในวาระเริ่มแรก ให้สภากาชาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณโดยตรงไปพลางก่อน และกำหนดรายการดังกล่าวไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม รายการเงินอุดหนุนสภากาชาดไทยผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และให้กระทรวงศึกษาธิการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภากาชาดไทยและสำนักงบประมาณทำหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี (ร่างมาตรา 7)
8. ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 8)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 8 พฤษภาคม 2550--จบ--
สภากาชาดไทยรายงานว่า ปัจจุบันสภากาชาดไทยซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยสภากาชาดไทย พระพุทธศักราช 2461 ได้ดำเนินการและขยายกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะกิจกรรมหลักสี่ประการ อันได้แก่ การบริการทางการแพทย์และสุขภาพอนามัย การบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติ การบริการโลหิตและการสังคมสงเคราะห์และส่งเสริมคุณภาพชีวิต แต่กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยให้สภากาชาดไทยปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนให้บรรลุผลสมความมุ่งหมายและจุดประสงค์ตามหลักการกาชาดได้ ดังนั้นสมควรที่จะให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งคณะกรรมการสภากาชาดไทยในการประชุมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2550 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทยทรงเป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบด้วย จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยสภากาชาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
1. กำหนดให้สภากาชาดไทยเป็นองค์การสาธารณะกุศลเพื่อมนุษยธรรมในระดับชาติและระดับนานาชาติ ตามหลักการของกาชาดสากล มีสถานภาพเป็นนิติบุคคลที่พึงได้รับการสนับสนุนการดำเนินการจากรัฐ และทรัพย์สินไม่อยู่ในข่ายการบังคับคดี รวมทั้งการบังคับทางปกครอง (ร่างมาตรา 3 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 1/1)
2. กำหนดแหล่งทุนของสภากาชาดไทยให้ครบถ้วน ซึ่งประกอบด้วยเงินอุดหนุนที่รัฐจัดสรรให้ เงินหรือทรัพย์สินบริจาค ค่าบำรุง ค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการ รายได้หรือผลประโยชน์อื่น และให้สภากาชาดไทยเสนอขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อคณะรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนของสภากาชาดไทยไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ร่างมาตรา 4 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 10/1)
3. กำหนดให้รายได้ของสภากาชาดไทยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและการใช้จ่ายรายได้เพื่อกิจการของสภากาชาดไทยให้เป็นไปตามข้อบังคับและข้อระเบียบที่คณะกรรมการสภากาชาดไทยกำหนด (ร่างมาตรา 4 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 10/2)
4. กำหนดให้การบัญชีของสภากาชาดไทยจัดทำตามมาตรฐานทางบัญชีทั่วไป (ร่างมาตรา 4 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 10/3)
5. กำหนดให้สภากาชาดไทยจัดทำงบการเงินของสภากาชาดไทยตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี รวมทั้งแต่งตั้งหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลอื่นใดเป็นผู้สอบบัญชีของสภากาชาดไทย (ร่างมาตรา 4 เพิ่มเติมความเป็นมาตรา 10/4)
6. ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ หนี้ และงบประมาณของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามวัตถุประสงค์สภากาชาดไทยไปเป็นของสภากาชาดไทย (ร่างมาตรา 6)
7. ในวาระเริ่มแรก ให้สภากาชาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณโดยตรงไปพลางก่อน และกำหนดรายการดังกล่าวไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม รายการเงินอุดหนุนสภากาชาดไทยผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และให้กระทรวงศึกษาธิการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภากาชาดไทยและสำนักงบประมาณทำหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี (ร่างมาตรา 7)
8. ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ (ร่างมาตรา 8)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 8 พฤษภาคม 2550--จบ--