คณะรัฐมนตรีอนุมัติอัตรากำลังสำรองราชการ จำนวน 4,000 อัตรา ตามที่ กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐและประเด็นอภิปรายไปประกอบการดำเนินการ พร้อมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และสำนักงาน ก.พ. หารือร่วมกันในรายละเอียดของการกำหนดตำแหน่งอัตรากำลังสำรองราชการเกี่ยวกับการจัดประเภทและการกำหนดชื่อ (สำรองราชการ) ที่เหมาะสมด้วย เช่น ประจำกระทรวง ประจำสำนักงาน เป็นต้น
กระทรวงศึกษาธิการรายงานว่า มีนโยบายที่จะยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาด้วยการส่งเสริมความก้าวหน้าตามวิทยฐานะ โดยให้ได้รับเงินวิทยฐานะและเงินค่าตอบแทนอื่น ๆ เพื่อเป็นการจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ แต่มีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาบางส่วนยังบกพร่องต่อหน้าที่ปฏิบัติงานไม่เต็มเวลาและความสามารถรวมทั้งไม่ประพฤติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพ จึงต้องมีมาตรการสำหรับกลุ่มบุคคลดังกล่าวโดยการสำรองราชการ เพื่อดำเนินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พัฒนาจิตใจ ความรู้ความสามารถ และความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ให้สามารถเป็นข้าราชการที่ดีต่อไป จึงเสนอขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอัตรากำลังสำรองราชการ จำนวน 1,000 อัตรา ซึ่งต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้แจ้งขอเพิ่มอัตรากำลังสำรองราชการอีก 3,000 อัตรา สำหรับการหมุนเวียนเพื่อเพิ่มสมรรถนะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
สำหรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 มีดังนี้
1. การขออัตรากำลังสำรองราชการของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 4,000 อัตรา เป็นการขออัตรากำลังทดแทนในจำนวนไม่เกินร้อยละ 1 ของจำนวนข้าราชการครูทั้งหมด 478,000 อัตรา ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2546 (การสำรองราชการข้าราชการที่ขาดประสิทธิภาพหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด) และเป็นการดำเนินการกับข้าราชการครูทั้งที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและสังกัดกระทรวงอื่นด้วย
2. การสั่งให้สำรองราชการสำหรับข้าราชการที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพหรือเกี่ยวข้องกับวงการยาเสพติดแต่ขาดหลักฐานที่ชัดเจน นั้น ไม่จำเป็นต้องปรากฏว่าข้าราชการนั้นมีความผิดเสียก่อน เพียงหย่อนประสิทธิภาพ ไม่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ก็สามารถสั่งให้สำรองราชการได้ เพื่อเป็นการหมุนเวียนสับเปลี่ยนตำแหน่งให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์ต่อราชการมากที่สุด
3. เมื่อมีการสั่งให้สำรองราชการแล้ว หากประสงค์จะให้บุคคลอื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน จะต้องดำเนินการแต่งตั้งบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ภายในกระทรวงศึกษาธิการมาดำรงตำแหน่งแทนในลักษณะเกลี่ยอัตรากำลังเพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเกิดประโยชน์ทางการบริหาร และต้องไม่มีการรับบุคคลเข้าใหม่มาแทนตำแหน่งที่ว่างลงเพราะมิฉะนั้นจะเท่ากับเป็นการเพิ่มอัตรากำลังใหม่
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-
กระทรวงศึกษาธิการรายงานว่า มีนโยบายที่จะยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาด้วยการส่งเสริมความก้าวหน้าตามวิทยฐานะ โดยให้ได้รับเงินวิทยฐานะและเงินค่าตอบแทนอื่น ๆ เพื่อเป็นการจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ แต่มีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาบางส่วนยังบกพร่องต่อหน้าที่ปฏิบัติงานไม่เต็มเวลาและความสามารถรวมทั้งไม่ประพฤติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพ จึงต้องมีมาตรการสำหรับกลุ่มบุคคลดังกล่าวโดยการสำรองราชการ เพื่อดำเนินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พัฒนาจิตใจ ความรู้ความสามารถ และความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ให้สามารถเป็นข้าราชการที่ดีต่อไป จึงเสนอขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอัตรากำลังสำรองราชการ จำนวน 1,000 อัตรา ซึ่งต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้แจ้งขอเพิ่มอัตรากำลังสำรองราชการอีก 3,000 อัตรา สำหรับการหมุนเวียนเพื่อเพิ่มสมรรถนะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
สำหรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 มีดังนี้
1. การขออัตรากำลังสำรองราชการของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 4,000 อัตรา เป็นการขออัตรากำลังทดแทนในจำนวนไม่เกินร้อยละ 1 ของจำนวนข้าราชการครูทั้งหมด 478,000 อัตรา ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2546 (การสำรองราชการข้าราชการที่ขาดประสิทธิภาพหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด) และเป็นการดำเนินการกับข้าราชการครูทั้งที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและสังกัดกระทรวงอื่นด้วย
2. การสั่งให้สำรองราชการสำหรับข้าราชการที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพหรือเกี่ยวข้องกับวงการยาเสพติดแต่ขาดหลักฐานที่ชัดเจน นั้น ไม่จำเป็นต้องปรากฏว่าข้าราชการนั้นมีความผิดเสียก่อน เพียงหย่อนประสิทธิภาพ ไม่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ก็สามารถสั่งให้สำรองราชการได้ เพื่อเป็นการหมุนเวียนสับเปลี่ยนตำแหน่งให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์ต่อราชการมากที่สุด
3. เมื่อมีการสั่งให้สำรองราชการแล้ว หากประสงค์จะให้บุคคลอื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน จะต้องดำเนินการแต่งตั้งบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ภายในกระทรวงศึกษาธิการมาดำรงตำแหน่งแทนในลักษณะเกลี่ยอัตรากำลังเพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเกิดประโยชน์ทางการบริหาร และต้องไม่มีการรับบุคคลเข้าใหม่มาแทนตำแหน่งที่ว่างลงเพราะมิฉะนั้นจะเท่ากับเป็นการเพิ่มอัตรากำลังใหม่
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-