คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ พ.ศ. …. ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎหมายฯ) ไปพิจารณาด้วย แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอเพิ่มเติมของ ก.พ. และให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ร่างระเบียบดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดให้หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานอิสระอื่น หรือราชการส่วนท้องถิ่น อาจนำระเบียบนี้ไปใช้ได้โดยอนุโลม
2. การจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการให้จัดทำในระดับกรม จังหวัด และหน่วยงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะผู้แทนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
3. ในการจัดให้มีสวัสดิการภายในส่วนราชการ ให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการ……..(ส่วนราชการ)……….." โดยมีหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้ที่หัวหน้าส่วนราชการมอบหมายเป็นประธานกรรมการและกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว
4. สมาชิกสวัสดิการภายในส่วนราชการมีสิทธิร้องขอให้มีการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการตามระเบียบที่คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการนั้นกำหนด คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการอาจกำหนดให้มีสมาชิกสวัสดิการหลายประเภท สมาชิกสวัสดิการประเภทใดจะได้รับสวัสดิการภายในส่วนราชการเรื่องใดให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการนั้นกำหนด
5. ให้สวัสดิการภายในส่วนราชการจัดตั้งกองทุนขึ้น เรียกว่า "กองทุนสวัสดิการภายในส่วนราชการ………(ส่วนราชการ)………..." และกำหนดที่มาของรายได้กองทุนสวัสดิการ
6. ให้สวัสดิการภายในส่วนราชการของแต่ละส่วนราชการเปิดบัญชีฝากเงินกองทุนสวัสดิการไว้กับธนาคารพาณิชย์หรือสหกรณ์ออมทรัพย์ของส่วนราชการตามระเบียบที่คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการกำหนด
7. ให้มี "คณะกรรมการสวัสดิการข้าราชการ" โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นประธาน และผู้อำนวยการศูนย์ประสานการจัดสวัสดิการข้าราชการ สำนักงาน ก.พ. เป็นเลขานุการ
8. ให้สวัสดิการภายในส่วนราชการที่มีอยู่แล้วในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับแก้ไขปรับปรุงระเบียบหรือข้อบังคับให้เป็นไปตามข้อกำหนดในระเบียบนี้ภายใน 1 ปีนับแต่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ
9. ส่วนราชการใดที่ยังไม่ได้จัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ ให้ดำเนินการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการตามระเบียบนี้ ภายใน 2 ปีนับแต่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ เว้นแต่ส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการและลูกจ้างไม่เพียงพอที่จะจัดสวัสดิการ และให้แต่งตั้งกรรมการสวัสดิการข้าราชการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนับแต่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ
สำหรับข้อเสนอเพิ่มเติมของ ก.พ. เพื่อให้การจัดสวัสดิการตามร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย โดยมีข้อเสนอ ดังนี้
1. ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่มีอำนาจจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการบริการประชาชนปรับปรุง กฎหมาย กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เก็บค่าธรรมเนียมการบริการประชาชนได้สูงขึ้นให้เหมาะสมกับต้นทุนการบริการ และให้นำเงินที่เก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวเข้ากองทุนสวัสดิการเพื่อนำไปจ่ายเป็นสวัสดิการเพิ่มให้กับข้าราชการและลูกจ้างในสังกัดและให้กระทรวงการคลังแก้ไขกฎหมาย กฎ และระเบียบของกระทรวงการคลังเพื่อให้สวัสดิการของส่วนราชการต่าง ๆ นำเงินดังกล่าวไปจ่ายเป็นสวัสดิการเพิ่มขึ้นต่อไป
2. ให้กรมสรรพากรปรับปรุงพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 47 (7) และมาตรา 65 ตรี (3) เพื่อให้ผู้บริจาคเงินเข้ากองทุนที่เป็นเอกชนนำเงินที่บริจาคไปหักลดหย่อน และให้ผู้บริจาคเงินที่เป็นนิติบุคคลนำไปถือเป็นรายจ่ายเพื่อการคิดคำนวณในการเก็บภาษีรายได้ตามที่กฎหมายกำหนด
3. ในกรณีที่งานสวัสดิการของส่วนราชการใดมีปริมาณงานมากให้องค์กรบริหารงานบุคคลกลางกำหนดตำแหน่งผู้รับผิดชอบการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการของแต่ละส่วนราชการโดยเฉพาะ หากส่วนราชการใดมีงานสวัสดิการของส่วนราชการไม่มาก ให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการของส่วนราชการนั้นจากตำแหน่งที่มีอยู่เดิม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-
ร่างระเบียบดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดให้หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานอิสระอื่น หรือราชการส่วนท้องถิ่น อาจนำระเบียบนี้ไปใช้ได้โดยอนุโลม
2. การจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการให้จัดทำในระดับกรม จังหวัด และหน่วยงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะผู้แทนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
3. ในการจัดให้มีสวัสดิการภายในส่วนราชการ ให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการ……..(ส่วนราชการ)……….." โดยมีหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้ที่หัวหน้าส่วนราชการมอบหมายเป็นประธานกรรมการและกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว
4. สมาชิกสวัสดิการภายในส่วนราชการมีสิทธิร้องขอให้มีการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการตามระเบียบที่คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการนั้นกำหนด คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการอาจกำหนดให้มีสมาชิกสวัสดิการหลายประเภท สมาชิกสวัสดิการประเภทใดจะได้รับสวัสดิการภายในส่วนราชการเรื่องใดให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการนั้นกำหนด
5. ให้สวัสดิการภายในส่วนราชการจัดตั้งกองทุนขึ้น เรียกว่า "กองทุนสวัสดิการภายในส่วนราชการ………(ส่วนราชการ)………..." และกำหนดที่มาของรายได้กองทุนสวัสดิการ
6. ให้สวัสดิการภายในส่วนราชการของแต่ละส่วนราชการเปิดบัญชีฝากเงินกองทุนสวัสดิการไว้กับธนาคารพาณิชย์หรือสหกรณ์ออมทรัพย์ของส่วนราชการตามระเบียบที่คณะกรรมการสวัสดิการภายในส่วนราชการกำหนด
7. ให้มี "คณะกรรมการสวัสดิการข้าราชการ" โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นประธาน และผู้อำนวยการศูนย์ประสานการจัดสวัสดิการข้าราชการ สำนักงาน ก.พ. เป็นเลขานุการ
8. ให้สวัสดิการภายในส่วนราชการที่มีอยู่แล้วในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับแก้ไขปรับปรุงระเบียบหรือข้อบังคับให้เป็นไปตามข้อกำหนดในระเบียบนี้ภายใน 1 ปีนับแต่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ
9. ส่วนราชการใดที่ยังไม่ได้จัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ ให้ดำเนินการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการตามระเบียบนี้ ภายใน 2 ปีนับแต่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ เว้นแต่ส่วนราชการที่มีจำนวนข้าราชการและลูกจ้างไม่เพียงพอที่จะจัดสวัสดิการ และให้แต่งตั้งกรรมการสวัสดิการข้าราชการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนับแต่ระเบียบนี้มีผลใช้บังคับ
สำหรับข้อเสนอเพิ่มเติมของ ก.พ. เพื่อให้การจัดสวัสดิการตามร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย โดยมีข้อเสนอ ดังนี้
1. ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่มีอำนาจจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการบริการประชาชนปรับปรุง กฎหมาย กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เก็บค่าธรรมเนียมการบริการประชาชนได้สูงขึ้นให้เหมาะสมกับต้นทุนการบริการ และให้นำเงินที่เก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวเข้ากองทุนสวัสดิการเพื่อนำไปจ่ายเป็นสวัสดิการเพิ่มให้กับข้าราชการและลูกจ้างในสังกัดและให้กระทรวงการคลังแก้ไขกฎหมาย กฎ และระเบียบของกระทรวงการคลังเพื่อให้สวัสดิการของส่วนราชการต่าง ๆ นำเงินดังกล่าวไปจ่ายเป็นสวัสดิการเพิ่มขึ้นต่อไป
2. ให้กรมสรรพากรปรับปรุงพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 47 (7) และมาตรา 65 ตรี (3) เพื่อให้ผู้บริจาคเงินเข้ากองทุนที่เป็นเอกชนนำเงินที่บริจาคไปหักลดหย่อน และให้ผู้บริจาคเงินที่เป็นนิติบุคคลนำไปถือเป็นรายจ่ายเพื่อการคิดคำนวณในการเก็บภาษีรายได้ตามที่กฎหมายกำหนด
3. ในกรณีที่งานสวัสดิการของส่วนราชการใดมีปริมาณงานมากให้องค์กรบริหารงานบุคคลกลางกำหนดตำแหน่งผู้รับผิดชอบการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการของแต่ละส่วนราชการโดยเฉพาะ หากส่วนราชการใดมีงานสวัสดิการของส่วนราชการไม่มาก ให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการของส่วนราชการนั้นจากตำแหน่งที่มีอยู่เดิม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-