คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการสำรวจความต้องการทำงานนอกเวลาเรียน พ.ศ. 2546 ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
1. ผู้ปกครองอายุ 20 ปีขึ้นไปทั่วประเทศส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 71.1 ต้องการให้บุตร/หลานทำงานนอกเวลาเรียน โดยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 75.9) ต้องการให้ทำงานช่วงเวลาปิดภาคเรียน รองลงมา (ร้อยละ 14.9) ต้องการให้ทำในวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์
สำหรับงานที่ต้องการให้ทำ 3 ลำดับแรก ได้แก่ งานเกี่ยวกับการจัดทำบัญชี/การเงิน/เช็คสต๊อคสินค้า(ร้อยละ 25.0) งานช่างวิชาชีพ เช่น ซ่อมวิทยุ โทรทัศน์ หรือซ่อมรถยนต์ (ร้อยละ 20.0) และงานธุรการสำนักงาน/รับโทรศัพท์ (ร้อยละ 11.1)
ผู้ปกครองต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในการจัดหางานให้ (ร้อยละ 44.7) ให้ติดประกาศตามสถานศึกษาเกี่ยวกับสถานประกอบการที่ต้องการรับทำงาน (ร้อยละ 27.1) ให้มีการจัดหน่วยเคลื่อนที่มารับสมัครงานในพื้นที่(ร้อยละ 17.2) และควรมีการจัดให้มีการฝึกงานเพิ่มเติมให้นักเรียน (ร้อยละ 10.5)
2. นักเรียน นักศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 81.9 ต้องการทำงานนอกเวลาเรียน โดยนักเรียนสายอาชีวศึกษาต้องการทำงานในสัดส่วนสูงที่สุด (ร้อยละ 81.5) รองลงมาคือสายอุดมศึกษา (ร้อยละ 80.4) และสายสามัญ(ร้อยละ 77.3) และส่วนใหญ่ (ร้อยละ 60.0) ต้องการทำงานในช่วงปิดเทอม
งานที่ต้องการทำ 3 ลำดับแรก ได้แก่ ค้าขายส่วนตัว (ร้อยละ 12.4) งานทำบัญชี เก็บเงินตรวจสต๊อคสินค้า (ร้อยละ 11.1) งานเสริฟอาหาร งานต้อนรับและแนะนำสินค้า และงานธุรการสำนักงานมีสัดส่วนของนักเรียนนักศึกษา ที่ต้องการทำใกล้เคียงกัน คือ ประมาณร้อยละ 10.0 สำหรับเหตุผลสำคัญที่ต้องการทำงาน ได้แก่ ต้องการมีรายได้ของตนเอง ต้องการหาประสบการณ์และต้องการช่วยเหลือครอบครัว
นักเรียน นักศึกษาเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 97.0) เห็นด้วยกับนโยบายส่งเสริมให้ทำงานนอกเวลาเรียนเพราะจะทำให้รู้จักรับผิดชอบมากขึ้น ได้มีประสบการณ์ และรู้ค่าของเงิน
3. ในด้านผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหารและบริการอื่น ๆ ที่มีคนทำงาน 6 คนขึ้นไป ในกรุงเทพมหานคร จำนวนประมาณ 43,330 แห่ง นั้น ร้อยละ 18.6 ต้องการจ้างแรงงานนักเรียน นักศึกษา และจำนวนที่คาดว่าจะจ้างได้ในปี 2547 คือ ประมาณ 69,000 คน โดยที่ต้องการจ้างนักเรียนอาชีวศึกษา ร้อยละ 68.7 ปริญญาตรี ร้อยละ 50.1 มัธยมศึกษาสายสามัญ ร้อยละ 38.4 สำหรับช่วงเวลาที่ต้องการจ้าง คือช่วงปิดภาคเรียน วันปกติ และวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ตามลำดับ
ในด้านลักษณะงานที่ต้องการจ้างตามลำดับ ได้แก่ งานธุรการสำนักงาน (ร้อยละ 24.7) งานทำบัญชี/ตรวจสต๊อคสินค้า (ร้อยละ 24.1) งานขายสินค้า (ร้อยละ 20.5) และงานด้านอื่น ๆ เช่น พนักงานต้อนรับ/แนะนำสินค้าและงานเสริฟอาหาร ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่ต้องการจ้าง ร้อยละ 97.4 จะจ่ายค่าตอบแทนให้ โดยในจำนวนนี้ ร้อยละ 60.2จะจ่ายเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ (ร้อยละ 88.3) เห็นด้วยกับนโยบายการปรับค่านิยมของนักเรียน นักศึกษาให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และร้อยละ 54.9 จะให้ความร่วมมือกับนโยบายดังกล่าว โดยจะรับฝึกงานและจ่ายค่าตอบแทนให้ (ร้อยละ 27.9) จะจัดโครงการพิเศษ/กิจกรรม ที่จะจ้างนักเรียน นักศึกษา (ร้อยละ 17.2) และร้อยละ 9.8จะใช้วิธีอื่น ๆ
ผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน โดยจัดให้มีหน่วยงานของรัฐบาลเป็นสื่อกลาง (ร้อยละ 55.3) จัดตลาดนัดแรงงานที่จะรับนักเรียน นักศึกษา (ร้อยละ 50.8) มีมาตรการให้สิทธิพิเศษด้านภาษี (ร้อยละ 34.0)สำหรับความเห็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้แก่ รัฐบาลกำหนดหลักสูตรการศึกษาให้ปฏิบัติงานได้ ควรจัดฝึกอาชีพให้ก่อน งดการจ่ายเงินสมทบประกันสังคม ทำให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจ้างแรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเป็นต้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-
1. ผู้ปกครองอายุ 20 ปีขึ้นไปทั่วประเทศส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 71.1 ต้องการให้บุตร/หลานทำงานนอกเวลาเรียน โดยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 75.9) ต้องการให้ทำงานช่วงเวลาปิดภาคเรียน รองลงมา (ร้อยละ 14.9) ต้องการให้ทำในวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์
สำหรับงานที่ต้องการให้ทำ 3 ลำดับแรก ได้แก่ งานเกี่ยวกับการจัดทำบัญชี/การเงิน/เช็คสต๊อคสินค้า(ร้อยละ 25.0) งานช่างวิชาชีพ เช่น ซ่อมวิทยุ โทรทัศน์ หรือซ่อมรถยนต์ (ร้อยละ 20.0) และงานธุรการสำนักงาน/รับโทรศัพท์ (ร้อยละ 11.1)
ผู้ปกครองต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในการจัดหางานให้ (ร้อยละ 44.7) ให้ติดประกาศตามสถานศึกษาเกี่ยวกับสถานประกอบการที่ต้องการรับทำงาน (ร้อยละ 27.1) ให้มีการจัดหน่วยเคลื่อนที่มารับสมัครงานในพื้นที่(ร้อยละ 17.2) และควรมีการจัดให้มีการฝึกงานเพิ่มเติมให้นักเรียน (ร้อยละ 10.5)
2. นักเรียน นักศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 81.9 ต้องการทำงานนอกเวลาเรียน โดยนักเรียนสายอาชีวศึกษาต้องการทำงานในสัดส่วนสูงที่สุด (ร้อยละ 81.5) รองลงมาคือสายอุดมศึกษา (ร้อยละ 80.4) และสายสามัญ(ร้อยละ 77.3) และส่วนใหญ่ (ร้อยละ 60.0) ต้องการทำงานในช่วงปิดเทอม
งานที่ต้องการทำ 3 ลำดับแรก ได้แก่ ค้าขายส่วนตัว (ร้อยละ 12.4) งานทำบัญชี เก็บเงินตรวจสต๊อคสินค้า (ร้อยละ 11.1) งานเสริฟอาหาร งานต้อนรับและแนะนำสินค้า และงานธุรการสำนักงานมีสัดส่วนของนักเรียนนักศึกษา ที่ต้องการทำใกล้เคียงกัน คือ ประมาณร้อยละ 10.0 สำหรับเหตุผลสำคัญที่ต้องการทำงาน ได้แก่ ต้องการมีรายได้ของตนเอง ต้องการหาประสบการณ์และต้องการช่วยเหลือครอบครัว
นักเรียน นักศึกษาเกือบทั้งหมด (ร้อยละ 97.0) เห็นด้วยกับนโยบายส่งเสริมให้ทำงานนอกเวลาเรียนเพราะจะทำให้รู้จักรับผิดชอบมากขึ้น ได้มีประสบการณ์ และรู้ค่าของเงิน
3. ในด้านผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหารและบริการอื่น ๆ ที่มีคนทำงาน 6 คนขึ้นไป ในกรุงเทพมหานคร จำนวนประมาณ 43,330 แห่ง นั้น ร้อยละ 18.6 ต้องการจ้างแรงงานนักเรียน นักศึกษา และจำนวนที่คาดว่าจะจ้างได้ในปี 2547 คือ ประมาณ 69,000 คน โดยที่ต้องการจ้างนักเรียนอาชีวศึกษา ร้อยละ 68.7 ปริญญาตรี ร้อยละ 50.1 มัธยมศึกษาสายสามัญ ร้อยละ 38.4 สำหรับช่วงเวลาที่ต้องการจ้าง คือช่วงปิดภาคเรียน วันปกติ และวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ตามลำดับ
ในด้านลักษณะงานที่ต้องการจ้างตามลำดับ ได้แก่ งานธุรการสำนักงาน (ร้อยละ 24.7) งานทำบัญชี/ตรวจสต๊อคสินค้า (ร้อยละ 24.1) งานขายสินค้า (ร้อยละ 20.5) และงานด้านอื่น ๆ เช่น พนักงานต้อนรับ/แนะนำสินค้าและงานเสริฟอาหาร ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่ต้องการจ้าง ร้อยละ 97.4 จะจ่ายค่าตอบแทนให้ โดยในจำนวนนี้ ร้อยละ 60.2จะจ่ายเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ (ร้อยละ 88.3) เห็นด้วยกับนโยบายการปรับค่านิยมของนักเรียน นักศึกษาให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และร้อยละ 54.9 จะให้ความร่วมมือกับนโยบายดังกล่าว โดยจะรับฝึกงานและจ่ายค่าตอบแทนให้ (ร้อยละ 27.9) จะจัดโครงการพิเศษ/กิจกรรม ที่จะจ้างนักเรียน นักศึกษา (ร้อยละ 17.2) และร้อยละ 9.8จะใช้วิธีอื่น ๆ
ผู้ประกอบการต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน โดยจัดให้มีหน่วยงานของรัฐบาลเป็นสื่อกลาง (ร้อยละ 55.3) จัดตลาดนัดแรงงานที่จะรับนักเรียน นักศึกษา (ร้อยละ 50.8) มีมาตรการให้สิทธิพิเศษด้านภาษี (ร้อยละ 34.0)สำหรับความเห็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้แก่ รัฐบาลกำหนดหลักสูตรการศึกษาให้ปฏิบัติงานได้ ควรจัดฝึกอาชีพให้ก่อน งดการจ่ายเงินสมทบประกันสังคม ทำให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจ้างแรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเป็นต้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-