คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้
1. การกำหนดราคาอ้อยที่ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายจะให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับราคาอ้อยคุ้มต้นทุนการผลิต โดยจะให้ความช่วยเหลือเฉพาะปริมาณอ้อยส่วนที่ไม่เกินกว่าปริมาณเป้าหมายที่กำหนดไว้ 65 ล้านตัน
2. การดำเนินการขึ้นทะเบียนชาวไร่อ้อยคู่สัญญาและลูกไร่ทุกราย พร้อมทั้งตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกอ้อยว่าสอดคล้องกับปริมาณอ้อยที่จะส่งเข้าโรงงานหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไร่อ้อยคู่สัญญารายใหญ่ที่มีการส่งอ้อยเข้าหีบตั้งแต่ 5,000 ตันขึ้นไป และหากพบว่าชาวไร่อ้อยคู่สัญญารายใดมีพื้นที่ปลูกอ้อยไม่สอดคล้องกับปริมาณอ้อยที่ส่งเข้าหีบให้ดำเนินการตัดสิทธิการช่วยเหลือให้กับชาวไร่อ้อยคู่สัญญารายดังกล่าว
3. มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานการดำเนินงานกับกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการ ทำการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องและจริงจังเพื่อลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางและมาตรการสนับสนุนอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องได้รับความสะดวกในการตัดและขนส่งอ้อยเข้าโรงงาน เช่น การจัดระบบการนำส่งอ้อยเข้าหีบอย่างเหมาะสม การจัดการเครื่องมือและอุปกรณ์สวมใส่สำหรับตัดอ้อยโดยไม่ต้องเผาก่อน
4. การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยโดยให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในวงเงิน 3,900 ล้านบาท เพื่อนำไปเพิ่มค่าอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2546/2547 ให้กับชาวไร่อ้อยอีกตันอ้อยละ 53 บาท
กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามนัยของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่22 กรกฎาคม 2546, 25 พฤศจิกายน 2546, 2 ธันวาคม 2546 และ 30 ธันวาคม 2546 ตามลำดับ โดยเมื่อวันที่14 มกราคม 2547 ได้จัดให้มีการประชุมผู้แทนชาวไร่อ้อยคู่สัญญา ผู้แทนสมาคมชาวไร่อ้อย และผู้แทนโรงงานน้ำตาลจำนวนรวมทั้งสิ้น 316 คน ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย และมาตรการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ดังนี้
1. การจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อเพิ่มค่าอ้อยตันอ้อยละ 53 บาท จะจ่ายเข้าบัญชีชาวไร่อ้อยคู่สัญญา และลูกไร่โดยตรงตามปริมาณอ้อยที่ส่งเข้าหีบจริง โดยให้โรงงานน้ำตาลทรายทุกโรงงานจัดทำบัญชีชาวไร่อ้อยคู่สัญญาที่ส่งอ้อยเข้าหีบในฤดูการผลิตปี 2546/2547 และบัญชีรายชื่อลูกไร่ที่ส่งอ้อยผ่านชาวไร่อ้อยคู่สัญญา โดยแยกปริมาณอ้อยของแต่ละรายให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้คณะทำงานควบคุมการผลิตประจำโรงงานตรวจรับรองเพื่อใช้ประกอบการจ่ายเงินเพิ่มค่าอ้อยดังกล่าวต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถจ่ายเงินเพิ่มค่าอ้อยดังกล่าวได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดทำบัญชีรายชื่อชาวไร่อ้อยคู่สัญญาและลูกไร่ดังกล่าวข้าวต้น และคาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินเพิ่มค่าอ้อยดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2547
2. การให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับราคาอ้อยคุ้มต้นทุนการผลิตตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 จะพิจารณาแยกเป็นแต่ละราย โดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิต ค่าความหวานของอ้อย และปริมาณอ้อยไฟไหม้ของชาวไร่อ้อยแต่ละราย ตลอดจนประสิทธิภาพการผลิตของแต่ละโรงงาน ทั้งนี้ ได้ประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ทำการศึกษาต้นทุนการผลิตอ้อยในแต่ละพื้นที่ เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยภายหลังการปิดหีบอ้อยฤดูการผลิตปี 2546/2547 ในราวเดือนพฤษภาคม 2547 ต่อไป
3. เพื่อให้การบริหารจัดการระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้กำหนดมาตรการให้ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลนำไปปฏิบัติ ได้แก่ การกำหนดปริมาณอ้อยไฟไหม้ให้มีไม่เกิน 20%ของปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด การกำหนดให้อ้อยที่ส่งเข้าหีบมีสิ่งปนเปื้อนไม่เกิน 3% การกำหนดเขตส่งเสริมการปลูกอ้อยภายในรัศมีไม่เกิน 100 กิโลเมตรรอบโรงงานน้ำตาล การกำหนดระยะเวลาในการรอคิวเพื่อส่งอ้อยไม่ให้เกิน 8 ชั่วโมงการกำหนดประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานให้ผลิตน้ำตาลได้ไม่ต่ำกว่า 105 กิโลกรัมต่อตันอ้อย และการกำหนดให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลแยกเป็นรายโรงงาน ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาอ้อยแก่ชาวไร่อ้อยเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับการดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2546 แล้ว ปรากฏว่าจนถึงปัจจุบัน (วันที่ 28 มกราคม 2547) ปริมาณอ้อยไฟไหม้ในช่วงเวลาเดียวกันลดลงจาก 52.25% ในปีที่ผ่านมา เหลือเพียง 37.98% ในปีนี้ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้ค่าความหวานของอ้อยในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นจาก 10.66 ซี.ซี.เอส. ในปีที่ผ่านมา เป็น 11.58 ซี.ซี.เอส. ในปีนี้ และประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นจาก 93.59 กิโลกรัมต่อตันอ้อย ในปีที่ผ่านมา เป็น 101.82 กิโลกรัมต่อต้นอ้อย ในปีนี้ นอกจากนี้ ยังได้รณรงค์ให้มีการจัดระบบการตัดและขนส่งอ้อยเข้าสู่โรงงานจนทำให้ในปัจจุบันรถบรรทุกอ้อยใช้เวลาในการรอคิวเพื่อส่งอ้อยเพียง 6 - 8 ชั่วโมง ขณะที่ปีที่ผ่านมาบางโรงงานต้องรอคิวนานถึง 2 - 3 วัน ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้คุณภาพของอ้อยที่เข้าหีบดีขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการกีดขวางการจราจรบนท้องถนนได้อีกทางหนึ่งด้วย
อนึ่ง ในการแก้ปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่าจำเป็นต้องกำหนดองค์กรและผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานที่ชัดเจน และได้นำเสนอการปรับปรุงกลุ่มภารกิจรับผิดชอบด้านอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายภายในกระทรวงอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงได้มอบหมายให้นายเผด็จภัย มีคุณเอี่ยม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายปราโมทย์ วิทยาสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ช่วยกำกับดูแลการดำเนินงานดังกล่าวอย่างใกล้ชิดด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-
1. การกำหนดราคาอ้อยที่ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายจะให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับราคาอ้อยคุ้มต้นทุนการผลิต โดยจะให้ความช่วยเหลือเฉพาะปริมาณอ้อยส่วนที่ไม่เกินกว่าปริมาณเป้าหมายที่กำหนดไว้ 65 ล้านตัน
2. การดำเนินการขึ้นทะเบียนชาวไร่อ้อยคู่สัญญาและลูกไร่ทุกราย พร้อมทั้งตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกอ้อยว่าสอดคล้องกับปริมาณอ้อยที่จะส่งเข้าโรงงานหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไร่อ้อยคู่สัญญารายใหญ่ที่มีการส่งอ้อยเข้าหีบตั้งแต่ 5,000 ตันขึ้นไป และหากพบว่าชาวไร่อ้อยคู่สัญญารายใดมีพื้นที่ปลูกอ้อยไม่สอดคล้องกับปริมาณอ้อยที่ส่งเข้าหีบให้ดำเนินการตัดสิทธิการช่วยเหลือให้กับชาวไร่อ้อยคู่สัญญารายดังกล่าว
3. มาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานการดำเนินงานกับกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการ ทำการรณรงค์ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องและจริงจังเพื่อลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางและมาตรการสนับสนุนอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องได้รับความสะดวกในการตัดและขนส่งอ้อยเข้าโรงงาน เช่น การจัดระบบการนำส่งอ้อยเข้าหีบอย่างเหมาะสม การจัดการเครื่องมือและอุปกรณ์สวมใส่สำหรับตัดอ้อยโดยไม่ต้องเผาก่อน
4. การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยโดยให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในวงเงิน 3,900 ล้านบาท เพื่อนำไปเพิ่มค่าอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2546/2547 ให้กับชาวไร่อ้อยอีกตันอ้อยละ 53 บาท
กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามนัยของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่22 กรกฎาคม 2546, 25 พฤศจิกายน 2546, 2 ธันวาคม 2546 และ 30 ธันวาคม 2546 ตามลำดับ โดยเมื่อวันที่14 มกราคม 2547 ได้จัดให้มีการประชุมผู้แทนชาวไร่อ้อยคู่สัญญา ผู้แทนสมาคมชาวไร่อ้อย และผู้แทนโรงงานน้ำตาลจำนวนรวมทั้งสิ้น 316 คน ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย และมาตรการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ดังนี้
1. การจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อเพิ่มค่าอ้อยตันอ้อยละ 53 บาท จะจ่ายเข้าบัญชีชาวไร่อ้อยคู่สัญญา และลูกไร่โดยตรงตามปริมาณอ้อยที่ส่งเข้าหีบจริง โดยให้โรงงานน้ำตาลทรายทุกโรงงานจัดทำบัญชีชาวไร่อ้อยคู่สัญญาที่ส่งอ้อยเข้าหีบในฤดูการผลิตปี 2546/2547 และบัญชีรายชื่อลูกไร่ที่ส่งอ้อยผ่านชาวไร่อ้อยคู่สัญญา โดยแยกปริมาณอ้อยของแต่ละรายให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้คณะทำงานควบคุมการผลิตประจำโรงงานตรวจรับรองเพื่อใช้ประกอบการจ่ายเงินเพิ่มค่าอ้อยดังกล่าวต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถจ่ายเงินเพิ่มค่าอ้อยดังกล่าวได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดทำบัญชีรายชื่อชาวไร่อ้อยคู่สัญญาและลูกไร่ดังกล่าวข้าวต้น และคาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินเพิ่มค่าอ้อยดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2547
2. การให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ชาวไร่อ้อยได้รับราคาอ้อยคุ้มต้นทุนการผลิตตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 จะพิจารณาแยกเป็นแต่ละราย โดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิต ค่าความหวานของอ้อย และปริมาณอ้อยไฟไหม้ของชาวไร่อ้อยแต่ละราย ตลอดจนประสิทธิภาพการผลิตของแต่ละโรงงาน ทั้งนี้ ได้ประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ทำการศึกษาต้นทุนการผลิตอ้อยในแต่ละพื้นที่ เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยภายหลังการปิดหีบอ้อยฤดูการผลิตปี 2546/2547 ในราวเดือนพฤษภาคม 2547 ต่อไป
3. เพื่อให้การบริหารจัดการระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้กำหนดมาตรการให้ชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลนำไปปฏิบัติ ได้แก่ การกำหนดปริมาณอ้อยไฟไหม้ให้มีไม่เกิน 20%ของปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด การกำหนดให้อ้อยที่ส่งเข้าหีบมีสิ่งปนเปื้อนไม่เกิน 3% การกำหนดเขตส่งเสริมการปลูกอ้อยภายในรัศมีไม่เกิน 100 กิโลเมตรรอบโรงงานน้ำตาล การกำหนดระยะเวลาในการรอคิวเพื่อส่งอ้อยไม่ให้เกิน 8 ชั่วโมงการกำหนดประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานให้ผลิตน้ำตาลได้ไม่ต่ำกว่า 105 กิโลกรัมต่อตันอ้อย และการกำหนดให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลแยกเป็นรายโรงงาน ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาอ้อยแก่ชาวไร่อ้อยเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับการดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2546 แล้ว ปรากฏว่าจนถึงปัจจุบัน (วันที่ 28 มกราคม 2547) ปริมาณอ้อยไฟไหม้ในช่วงเวลาเดียวกันลดลงจาก 52.25% ในปีที่ผ่านมา เหลือเพียง 37.98% ในปีนี้ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้ค่าความหวานของอ้อยในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นจาก 10.66 ซี.ซี.เอส. ในปีที่ผ่านมา เป็น 11.58 ซี.ซี.เอส. ในปีนี้ และประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นจาก 93.59 กิโลกรัมต่อตันอ้อย ในปีที่ผ่านมา เป็น 101.82 กิโลกรัมต่อต้นอ้อย ในปีนี้ นอกจากนี้ ยังได้รณรงค์ให้มีการจัดระบบการตัดและขนส่งอ้อยเข้าสู่โรงงานจนทำให้ในปัจจุบันรถบรรทุกอ้อยใช้เวลาในการรอคิวเพื่อส่งอ้อยเพียง 6 - 8 ชั่วโมง ขณะที่ปีที่ผ่านมาบางโรงงานต้องรอคิวนานถึง 2 - 3 วัน ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้คุณภาพของอ้อยที่เข้าหีบดีขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการกีดขวางการจราจรบนท้องถนนได้อีกทางหนึ่งด้วย
อนึ่ง ในการแก้ปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่าจำเป็นต้องกำหนดองค์กรและผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานที่ชัดเจน และได้นำเสนอการปรับปรุงกลุ่มภารกิจรับผิดชอบด้านอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายภายในกระทรวงอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงได้มอบหมายให้นายเผด็จภัย มีคุณเอี่ยม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายปราโมทย์ วิทยาสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ช่วยกำกับดูแลการดำเนินงานดังกล่าวอย่างใกล้ชิดด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-