คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์/มาตรการ ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545 - 2549 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติเสนอ โดยงบประมาณในแต่ละแผน โครงการ ตามยุทธศาสตร์และมาตรการ ให้หน่วยงานหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการด้วยว่า การดำเนินตามแผนแม่บทดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับกฎหมายเกี่ยวกับผังเมือง และการควบคุมสารเคมีอันตรายจะต้องเป็นไปอย่างเข้มงวดเหมาะสมด้วย
คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติรายงานว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้เชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการแผนปฏิบัติการและงบประมาณภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากสารเคมี และการจัดการพื้นที่เสี่ยงภัยจากสารเคมี โดยมีรายละเอียดการบูรณาการแผนปฏิบัติการปี 2547 - 2549 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ ฉบับที่ 2พ.ศ. 2545 - 2549 ดังนี้
1. หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันมีสารเคมีที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 3,000 ชนิด สารเคมีแต่ละชนิดมีกระบวนการดำเนินการหลายขั้นตอน ตั้งแต่การอนุญาตนำเข้า การครอบครอง การใช้ การขนส่ง การกำจัด จนถึงการส่งออก ฯลฯ ในกระบวนการเหล่านี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน และกำหนดวิธีการเฉพาะสำหรับกระบวนการในความรับผิดชอบของตนแตกต่างจากรายละเอียดของหน่วยงานอื่น ข้อมูลและมาตรการแตกต่างกัน รวมทั้งขาดมาตรการในการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด อาจเกิดช่องว่างทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้นได้ ดังนั้น เพื่อให้การจัดการสารเคมีเป็นระบบมีความปลอดภัยและสอดคล้องกับแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ จึงสมควรให้มีการบูรณาการแผนเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุ โดยกำหนดมาตรการและแนวทางการจัดการสารเคมีอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
2. ยุทธศาสตร์/มาตรการ/แนวทางดำเนินงาน
2.1 การพัฒนาเครือข่ายข้อมูลสารเคมีแห่งชาติ มอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นหน่ายงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาข้อมูลด้านการควบคุมสารเคมีให้สามารถทราบคุณสมบัติและวิธีปฏิบัติต่อสารเคมีทุกประเภท และทราบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีแต่ละหน่วยงานรับผิดชอบในขั้นตอนใด สามารถเชื่อมโยงระบบได้ทั่วประเทศ
2.2 การพัฒนาระบบการจัดการและป้องกันอุบัติภัยสารเคมี
1) ระดับนโยบาย ให้คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติเป็นองค์กรหลักกำหนดนโยบายแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากสารเคมี
2) ระดับการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยประสานงานหลัก ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
3) ระดับปฏิบัติการ ให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหน่วยดำเนินการตามกฎหมายโดยให้กรมควบคุมมลพิษสนับสนุนทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับการกำกับดูแลภัยพิบัติจากสารเคมีให้ดำเนินการ ดังนี้
1) การจัดสร้างและพัฒนาฐานข้อมูล ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติสารเคมี เพื่อสามารถบูรณาการและสนับสนุนในการจัดการภัยพิบัติได้ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งมาตรการดังกล่าวให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นฐานข้อมูลในการบริหารจัดการ
2) การขนส่งสารเคมี ให้กระทรวงคมนาคมกำหนดวิธีการขนส่งสินค้าอันตราย รวมทั้งเส้นทางการขนส่งสารเคมีให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ และแจ้งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทราบเพื่อประสานอำนวยการในการจัดการภัยพิบัติ
3) การจัดเก็บสารเคมี ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการอนุญาตให้มีสารเคมีไว้ในครอบครอง ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานชื่อ ที่ตั้งชนิด และปริมาณของสารเคมี และสถานที่จัดเก็บของผู้มีสารเคมีไว้ในครอบครอง ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อแจ้งให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำกับดูแล และสามารถตรวจสอบเตรียมพร้อมป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น
4) การกำกับดูแล ให้กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาวางระบบการตรวจสอบ กำกับ ดูแลการปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
5) การฟื้นฟูผู้ประสบภัยและสิ่งแวดล้อม
(1) การช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบภัยในด้านการรักษาสุขภาพอนามัย และจิตใจ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก
(2) การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้กลับสู่สภาพปกติ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลัก
6) การป้องกันและปราบปราม ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดโดยเฉียบขาด
7) การประกันความเสี่ยงภัย ให้กรมการประกันภัยเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการออกระเบียบหรือปรับปรุงกฎหมาย ให้มีการประกันความเสี่ยงภัยจากภัยพิบัติสารเคมีในทุกขั้นตอน
8) การส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วม ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการจัดการภัยพิบัติจากสารเคมี
9) การจัดการพื้นที่เสี่ยงภัยจากสารเคมี ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลักในการจัดการพื้นที่เสี่ยงภัยจากสารเคมี และให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีคณะทำงานตรวจสอบการดำเนินงานของโรงงานในพื้นที่ ดังนี้
(1) การประเมินความเสี่ยงภัยหรือความน่าจะเป็นอันตรายของโรงงานอุตสาหกรรมให้ใช้มาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
(2) การประเมินความเสี่ยงอุบัติภัยของกรมควบคุมมลพิษ พิจารณาจากชนิดและปริมาณสารเคมีอันตรายร้ายแรงที่ใช้เก็บรักษา และผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่อาศัยโดยรอบโดยให้จังหวัด และกรุงเทพมหานครจัดทำแผนปฏิบัติการฉุกเฉินจากสารเคมี และเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ในการระงับภัย
(3) การใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ตามการประเมินของกรมโยธาธิการและผังเมือง ให้ใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม โดย
- โรงงานที่ใช้สารเคมีอันตรายจะมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในกรณีเกิดอุบัติภัยโดยความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับความใกล้ - ไกล จากชุมชน ปริมาณสารเคมี ความรุนแรงของสารเคมี รวมทั้งมาตรการความปลอดภัยของโรงงาน (Safe guard)
- ควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงานที่ใช้สารเคมีอันตรายในพื้นที่ซึ่งไม่เหมาะสมหรือในเขตชุมชนให้เป็นไปตามข้อกำหนดผังเมืองรวม
- โรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งในพื้นที่ไม่เหมาะสม หากมีความเสี่ยงในการใช้สารเคมี และระบบความปลอดภัยของโรงงานแล้วต้องมีมาตรการรองรับ ทั้งในด้านการกำหนดพื้นที่ไว้เป็นการเฉพาะ มาตรการป้องกัน ภัย และการเตือนภัยต่าง ๆ
2.3 การกำจัดกากของเสียสารเคมี ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลัก ควบคุม ดูแล ไม่ให้สร้างความเสียหายแก่สาธารณชน
2.4 การพัฒนาเครือข่ายพิษวิทยาแห่งชาติ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาระบบการรักษาและฟื้นฟูผู้เจ็บป่วยจากสารเคมี
2.5 การศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านสารเคมี ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้นำเรื่องเสนอคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ในคราวประชุมวันที่ 26 พฤศจิกายน 2546 เพื่อพิจารณาเรื่องการบูรณาการแผนปฏิบัติการและงบประมาณปี 2547 - 2549 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการของแผนปฏิบัติการฯ ที่ได้บูรณาการแล้ว และให้หน่วยงานหลักตามยุทธศาสตร์ และสำนักงบประมาณ พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบปรับลดงบประมาณให้เหมาะสมและสอดคล้องกับพันธกิจแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-
คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติรายงานว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้เชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการแผนปฏิบัติการและงบประมาณภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากสารเคมี และการจัดการพื้นที่เสี่ยงภัยจากสารเคมี โดยมีรายละเอียดการบูรณาการแผนปฏิบัติการปี 2547 - 2549 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ ฉบับที่ 2พ.ศ. 2545 - 2549 ดังนี้
1. หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันมีสารเคมีที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 3,000 ชนิด สารเคมีแต่ละชนิดมีกระบวนการดำเนินการหลายขั้นตอน ตั้งแต่การอนุญาตนำเข้า การครอบครอง การใช้ การขนส่ง การกำจัด จนถึงการส่งออก ฯลฯ ในกระบวนการเหล่านี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน และกำหนดวิธีการเฉพาะสำหรับกระบวนการในความรับผิดชอบของตนแตกต่างจากรายละเอียดของหน่วยงานอื่น ข้อมูลและมาตรการแตกต่างกัน รวมทั้งขาดมาตรการในการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด อาจเกิดช่องว่างทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้นได้ ดังนั้น เพื่อให้การจัดการสารเคมีเป็นระบบมีความปลอดภัยและสอดคล้องกับแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ จึงสมควรให้มีการบูรณาการแผนเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุ โดยกำหนดมาตรการและแนวทางการจัดการสารเคมีอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
2. ยุทธศาสตร์/มาตรการ/แนวทางดำเนินงาน
2.1 การพัฒนาเครือข่ายข้อมูลสารเคมีแห่งชาติ มอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นหน่ายงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาข้อมูลด้านการควบคุมสารเคมีให้สามารถทราบคุณสมบัติและวิธีปฏิบัติต่อสารเคมีทุกประเภท และทราบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีแต่ละหน่วยงานรับผิดชอบในขั้นตอนใด สามารถเชื่อมโยงระบบได้ทั่วประเทศ
2.2 การพัฒนาระบบการจัดการและป้องกันอุบัติภัยสารเคมี
1) ระดับนโยบาย ให้คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติเป็นองค์กรหลักกำหนดนโยบายแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากสารเคมี
2) ระดับการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยประสานงานหลัก ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
3) ระดับปฏิบัติการ ให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นหน่วยดำเนินการตามกฎหมายโดยให้กรมควบคุมมลพิษสนับสนุนทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับการกำกับดูแลภัยพิบัติจากสารเคมีให้ดำเนินการ ดังนี้
1) การจัดสร้างและพัฒนาฐานข้อมูล ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสร้างและพัฒนาฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภัยพิบัติสารเคมี เพื่อสามารถบูรณาการและสนับสนุนในการจัดการภัยพิบัติได้ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งมาตรการดังกล่าวให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นฐานข้อมูลในการบริหารจัดการ
2) การขนส่งสารเคมี ให้กระทรวงคมนาคมกำหนดวิธีการขนส่งสินค้าอันตราย รวมทั้งเส้นทางการขนส่งสารเคมีให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ และแจ้งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทราบเพื่อประสานอำนวยการในการจัดการภัยพิบัติ
3) การจัดเก็บสารเคมี ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการอนุญาตให้มีสารเคมีไว้ในครอบครอง ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานชื่อ ที่ตั้งชนิด และปริมาณของสารเคมี และสถานที่จัดเก็บของผู้มีสารเคมีไว้ในครอบครอง ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อแจ้งให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำกับดูแล และสามารถตรวจสอบเตรียมพร้อมป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น
4) การกำกับดูแล ให้กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาวางระบบการตรวจสอบ กำกับ ดูแลการปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
5) การฟื้นฟูผู้ประสบภัยและสิ่งแวดล้อม
(1) การช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบภัยในด้านการรักษาสุขภาพอนามัย และจิตใจ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก
(2) การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้กลับสู่สภาพปกติ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลัก
6) การป้องกันและปราบปราม ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดโดยเฉียบขาด
7) การประกันความเสี่ยงภัย ให้กรมการประกันภัยเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการออกระเบียบหรือปรับปรุงกฎหมาย ให้มีการประกันความเสี่ยงภัยจากภัยพิบัติสารเคมีในทุกขั้นตอน
8) การส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วม ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการจัดการภัยพิบัติจากสารเคมี
9) การจัดการพื้นที่เสี่ยงภัยจากสารเคมี ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลักในการจัดการพื้นที่เสี่ยงภัยจากสารเคมี และให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีคณะทำงานตรวจสอบการดำเนินงานของโรงงานในพื้นที่ ดังนี้
(1) การประเมินความเสี่ยงภัยหรือความน่าจะเป็นอันตรายของโรงงานอุตสาหกรรมให้ใช้มาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
(2) การประเมินความเสี่ยงอุบัติภัยของกรมควบคุมมลพิษ พิจารณาจากชนิดและปริมาณสารเคมีอันตรายร้ายแรงที่ใช้เก็บรักษา และผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่อาศัยโดยรอบโดยให้จังหวัด และกรุงเทพมหานครจัดทำแผนปฏิบัติการฉุกเฉินจากสารเคมี และเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ในการระงับภัย
(3) การใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ตามการประเมินของกรมโยธาธิการและผังเมือง ให้ใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม โดย
- โรงงานที่ใช้สารเคมีอันตรายจะมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในกรณีเกิดอุบัติภัยโดยความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับความใกล้ - ไกล จากชุมชน ปริมาณสารเคมี ความรุนแรงของสารเคมี รวมทั้งมาตรการความปลอดภัยของโรงงาน (Safe guard)
- ควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงานที่ใช้สารเคมีอันตรายในพื้นที่ซึ่งไม่เหมาะสมหรือในเขตชุมชนให้เป็นไปตามข้อกำหนดผังเมืองรวม
- โรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งในพื้นที่ไม่เหมาะสม หากมีความเสี่ยงในการใช้สารเคมี และระบบความปลอดภัยของโรงงานแล้วต้องมีมาตรการรองรับ ทั้งในด้านการกำหนดพื้นที่ไว้เป็นการเฉพาะ มาตรการป้องกัน ภัย และการเตือนภัยต่าง ๆ
2.3 การกำจัดกากของเสียสารเคมี ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานหลัก ควบคุม ดูแล ไม่ให้สร้างความเสียหายแก่สาธารณชน
2.4 การพัฒนาเครือข่ายพิษวิทยาแห่งชาติ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาระบบการรักษาและฟื้นฟูผู้เจ็บป่วยจากสารเคมี
2.5 การศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านสารเคมี ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้นำเรื่องเสนอคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ในคราวประชุมวันที่ 26 พฤศจิกายน 2546 เพื่อพิจารณาเรื่องการบูรณาการแผนปฏิบัติการและงบประมาณปี 2547 - 2549 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการของแผนปฏิบัติการฯ ที่ได้บูรณาการแล้ว และให้หน่วยงานหลักตามยุทธศาสตร์ และสำนักงบประมาณ พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบปรับลดงบประมาณให้เหมาะสมและสอดคล้องกับพันธกิจแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547--จบ--
-กภ-