คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎหมาย) ไปพิจารณาด้วย โดยให้พิจารณารวมกับร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ให้ศาลเยาวชนฯ แห่งท้องที่ใกล้เคียงท้องที่ที่เกิดเหตุที่สุดเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิด) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งค้างอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2546 แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดคำนิยาม
2. กำหนดให้ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาคดีที่มีอัตราโทษสูงกว่าศาลธรรมดาได้
3. กำหนดคุณสมบัติของผู้พิพากษาสมทบให้สูงขึ้น
4. กำหนดให้มีผู้เชี่ยวชาญและเจ้าพนักงานคดีเยาวชนและครอบครัวทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำและช่วยเหลือคู่ความ และประสานงานกับบุคคลหรือหน่วยงานภายนอก รวมทั้งทำหน้าที่บังคับให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำบังคังของศาลในการให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพ
5. กำหนดให้มีการคุ้มครองแก่สิทธิเด็กที่กระทำความผิด โดยกำหนดให้เจ้าพนักงานตำรวจจับเด็กที่กระทำความผิดได้ต่อเมื่อเด็กกระทำความผิดซึ่งหน้าหรือมีหมาจับ หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้นโดยให้อำนาจพนักงานสอบสวนมอบตัวเด็กให้แก่บิดามารดา ผู้ปกครองหรือบุคคลที่เด็กอาศัยอยู่หรือจะมอบตัวเด็กไว้กับบุคคลหรือองค์การที่เห็นสมควรก็ได้หลังจากที่ได้ถามปากคำเด็กนั้นแล้ว
6. กำหนดให้มีกระบวนการประชุมกลุ่มครอบครัวเพื่อจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กที่กระทำความผิดให้กลับตนเป็นคนดีแทนการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
7. กำหนดให้มีการนำวิธีการพิจารณาคดีคุ้มครองสวัสดิภาพมาใช้เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพเด็ก เยาวชน สตรี และบุคคลที่ได้รับความรุนแรงหรือได้รับการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมจากบุคคลในครอบครัว
8. กำหนดให้ศาลเป็นผู้อนุญาตให้ควบคุมตัวเยาวชนในสถานพินิจ
9. กำหนดให้นำระบบ (pre - trial conference) หรือนัดพร้อมเพื่อกำหนดพยานที่จะนำสืบมาใช้ในศาลเยาวชนฯ
10. กำหนดให้ศาลนำวิธีการคุ้มครองสวัสดิภาพหรือวิธีการสำหรับเด็กหรือเยาวชน ตลอดจนการบำบัดแก้ไขฟื้นฟูมาใช้กับเด็กหรือเยาวชนหรือครอบครัว ในกรณีที่พฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนยังไม่สมควรมีคำพิพากษา และเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้วให้ศาลสั่งยุติโดยไม่ต้องมีคำพิพากษาและถือว่าไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน
11. กำหนดให้การพิจารณาพิพากษาคดีครอบครัวสามารถทำได้โดยง่าย โดยไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียม และกำหนดให้มีผู้ไกล่เกลี่ยคดีครอบครัวเข้ามาช่วยเหลือศาลในการไกล่เกลี่ยคดีครอบครัว ตลอดจนการใช้วิธีการคุ้มครองชั่วคราวในคดีครอบครัวและการบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเกี่ยวกับตัวผู้เยาว์ค่าอุปการะเลี้ยงดู และค่าเลี้ยงชีพ
12. กำหนดให้มีการปกป้องคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพเด็ก เยาวชน สตรี หรือบุคคลที่ได้รับความรุนแรงหรือได้รับการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมจากบุคคลในครอบครัวและคุ้มสิทธิและสวัสดิภาพแก่เด็ก และเยาวชนที่กระทำผิดอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ
13. กำหนดให้จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขึ้นในจังหวัดที่มีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเปิดทำการอยู่ โดยให้ยุบเลิกแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวและให้โอนคดี ผู้พิพากษา ข้าราชการ ลูกจ้างและทรัพย์สินไปเป็นของศาลเยาวชนและครอบครัวที่จัดตั้งแทน
14. ในจังหวัดที่ยังไม่มีศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด กำหนดให้จัดตั้งศาลเยาวชนฯ ขึ้นทุกจังหวัดโดยให้เปิดทำการให้ครบทุกจังหวัดภายใน 3 ปี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 23 มีนาคม 2547--จบ--
-กภ-
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดคำนิยาม
2. กำหนดให้ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาคดีที่มีอัตราโทษสูงกว่าศาลธรรมดาได้
3. กำหนดคุณสมบัติของผู้พิพากษาสมทบให้สูงขึ้น
4. กำหนดให้มีผู้เชี่ยวชาญและเจ้าพนักงานคดีเยาวชนและครอบครัวทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำและช่วยเหลือคู่ความ และประสานงานกับบุคคลหรือหน่วยงานภายนอก รวมทั้งทำหน้าที่บังคับให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำบังคังของศาลในการให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพ
5. กำหนดให้มีการคุ้มครองแก่สิทธิเด็กที่กระทำความผิด โดยกำหนดให้เจ้าพนักงานตำรวจจับเด็กที่กระทำความผิดได้ต่อเมื่อเด็กกระทำความผิดซึ่งหน้าหรือมีหมาจับ หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้นโดยให้อำนาจพนักงานสอบสวนมอบตัวเด็กให้แก่บิดามารดา ผู้ปกครองหรือบุคคลที่เด็กอาศัยอยู่หรือจะมอบตัวเด็กไว้กับบุคคลหรือองค์การที่เห็นสมควรก็ได้หลังจากที่ได้ถามปากคำเด็กนั้นแล้ว
6. กำหนดให้มีกระบวนการประชุมกลุ่มครอบครัวเพื่อจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กที่กระทำความผิดให้กลับตนเป็นคนดีแทนการดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
7. กำหนดให้มีการนำวิธีการพิจารณาคดีคุ้มครองสวัสดิภาพมาใช้เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพเด็ก เยาวชน สตรี และบุคคลที่ได้รับความรุนแรงหรือได้รับการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมจากบุคคลในครอบครัว
8. กำหนดให้ศาลเป็นผู้อนุญาตให้ควบคุมตัวเยาวชนในสถานพินิจ
9. กำหนดให้นำระบบ (pre - trial conference) หรือนัดพร้อมเพื่อกำหนดพยานที่จะนำสืบมาใช้ในศาลเยาวชนฯ
10. กำหนดให้ศาลนำวิธีการคุ้มครองสวัสดิภาพหรือวิธีการสำหรับเด็กหรือเยาวชน ตลอดจนการบำบัดแก้ไขฟื้นฟูมาใช้กับเด็กหรือเยาวชนหรือครอบครัว ในกรณีที่พฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนยังไม่สมควรมีคำพิพากษา และเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้วให้ศาลสั่งยุติโดยไม่ต้องมีคำพิพากษาและถือว่าไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน
11. กำหนดให้การพิจารณาพิพากษาคดีครอบครัวสามารถทำได้โดยง่าย โดยไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียม และกำหนดให้มีผู้ไกล่เกลี่ยคดีครอบครัวเข้ามาช่วยเหลือศาลในการไกล่เกลี่ยคดีครอบครัว ตลอดจนการใช้วิธีการคุ้มครองชั่วคราวในคดีครอบครัวและการบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเกี่ยวกับตัวผู้เยาว์ค่าอุปการะเลี้ยงดู และค่าเลี้ยงชีพ
12. กำหนดให้มีการปกป้องคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพเด็ก เยาวชน สตรี หรือบุคคลที่ได้รับความรุนแรงหรือได้รับการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมจากบุคคลในครอบครัวและคุ้มสิทธิและสวัสดิภาพแก่เด็ก และเยาวชนที่กระทำผิดอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ
13. กำหนดให้จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขึ้นในจังหวัดที่มีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเปิดทำการอยู่ โดยให้ยุบเลิกแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวและให้โอนคดี ผู้พิพากษา ข้าราชการ ลูกจ้างและทรัพย์สินไปเป็นของศาลเยาวชนและครอบครัวที่จัดตั้งแทน
14. ในจังหวัดที่ยังไม่มีศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด กำหนดให้จัดตั้งศาลเยาวชนฯ ขึ้นทุกจังหวัดโดยให้เปิดทำการให้ครบทุกจังหวัดภายใน 3 ปี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 23 มีนาคม 2547--จบ--
-กภ-