คณะรัฐมนตรีพิจารณาหลักเกณฑ์การค้ำประกันและการให้กู้ต่อของกระทรวงการคลังตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายและกำกับบริหารหนี้สาธารณะ เรื่อง หลักเกณฑ์และกรอบวงเงินการค้ำประกันและการให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ
2. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดอัตรา และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน และการให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ....
3. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์การให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
ร่างประกาศและร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับในเรื่องนี้ เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 โดยมีหลักการสอดคล้องกับแผนพัฒนากฎหมายแห่งชาติ และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
1. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายและกำกับบริหารหนี้สาธารณะ เรื่อง หลักเกณฑ์และกรอบวงเงินการค้ำประกันและการให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเพดานของวงเงินการค้ำประกัน หรือวงเงินให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐแต่ละราย โดยใช้สัดส่วนของหนี้สินต่อเงินกองทุน (Debt to Equity Ratio) เป็นเกณฑ์ ดังนี้
1.1 กรณีของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด หรือ สถาบันการเงิน ภาครัฐ ได้กำหนดสัดส่วนหนี้สินต่อเงินกองทุนไว้ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ได้กำหนดสัดส่วนหนี้สินต่อเงินกองทุนไว้ไม่เกิน 3 เท่า และรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นสถาบันการเงินภาครัฐได้กำหนดสัดส่วนหนี้สินต่อเงินกองทุนไว้ไม่เกิน 6 เท่า และจะไม่ค้ำประกันหรือให้กู้ต่อในกรณีที่มีเงินกองทุนติดลบ ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังจะค้ำประกัน หรือให้กู้ต่อเกินกว่าเพดานที่กำหนด ก็ให้เสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณาเป็นรายกรณี
1.2 กรณีรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นองค์การของรัฐจะพิจารณาตามความจำเป็น โดยไม่กำหนดเพดานไว้ เพื่อให้รัฐบาลมีความยืดหยุ่นในการสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐวิสาหกิจ โดยการจัดหาเงินกู้ให้ (Debt Financing) หรือจัดสรรเงินให้เป็นทุน (Equity Financing) โดยให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณากำหนดกรอบวงเงินที่จะค้ำประกัน หรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้เสนอกรอบวงเงินค้ำประกันหรือให้กู้ต่อที่เหมาะสม โดยต้องวิเคราะห์และประเมินถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะด้วย
2. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดอัตรา และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม การค้ำประกัน และ การให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและการให้กู้ต่อ แก่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐ ดังนี้
2.1 กำหนดเพดานอัตราค่าธรรมเนียม โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมไว้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 0.50 ต่อปี และในการประเมินอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐแต่ละราย ให้ประเมินจากเครดิตของลูกหนี้แต่ละราย โดยใช้ส่วนต่าง (Spread) ของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหรือสถาบันการเงิน ภาครัฐที่กระทรวงการคลังค้ำประกันกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเป็นอัตราอ้างอิง และให้มีการประกาศอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวทุกวันที่ 30 เมษายน และ 31 ตุลาคมของทุกปี และให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการ ค้ำประกันและหรือการให้กู้ต่อจากวงเงินค้ำประกันคงค้างและหรือวงเงินให้กู้ต่อคงค้าง โดยให้เรียกเก็บเป็นสกุลเงินตามที่ได้ค้ำประกันหรือให้กู้ต่อ และจะเรียกเก็บเป็นรายปีหรือรายครึ่งปีก็ได้ภายในกรอบอัตราที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะกำหนด
2.2 กำหนดยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและการให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐ ในโครงการหรือแผนงานตามนโยบายของรัฐบาล (PSO) หรือโครงการด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ไม่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ หรือการลงทุนใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ สำหรับรัฐวิสาหกิจ ส่วนสถาบันการเงินภาครัฐให้สามารถยกเว้นค่าธรรมได้ เฉพาะโครงการหรือแผนสนับสนุนสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล (PSO) ทั้งนี้ ให้บันทึกวงเงินค่าธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นให้เป็นส่วนหนึ่งของเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากรรัฐบาลในการดำเนินงานด้วย
2.3 การทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและการให้กู้ต่อ ในกรณีที่เห็นว่ารัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐรายใดที่กระทรวงการคลังค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแล้วมี การเปลี่ยนแปลงสถานะของกิจการหรือฐานะการเงินซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระดับความเสี่ยงและภาระผูกพันของกระทรวงการคลังในการค้ำประกันและให้กู้ต่ออย่างมีนัยสำคัญ หรือประสบปัญหาในการดำเนินงานและสมควรได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากรัฐบาล ให้กระทรวงการคลังสามารถเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงอัตราและเงื่อนไขการเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและหรือให้กู้ต่อได้
3. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์การให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐสำหรับเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศในกรณีของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐ รวมทั้งสถาบันการเงินภาครัฐ กระทรวงการคลังสามารถให้กู้ต่อได้เพื่อสนับสนุนโครงการที่รัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม หรือเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน สำหรับกรณีรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ให้สามารถให้กู้ต่อได้เฉพาะเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้น โดยการให้กู้ต่อให้ดำเนินการได้โดยอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี พร้อมด้วยเหตุผลและความจำเป็นในการดำเนินการ แล้วรายงานการวิเคราะห์ต้นทุนและความเสี่ยงเปรียบเทียบด้วย ทั้งนี้ ให้จัดทำสัญญาให้กู้ต่อให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับจากวันที่กระทรวงการคลังได้ทำสัญญาผูกพันการกู้เงิน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 13 ธันวาคม 2548--จบ--
1. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายและกำกับบริหารหนี้สาธารณะ เรื่อง หลักเกณฑ์และกรอบวงเงินการค้ำประกันและการให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ
2. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดอัตรา และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน และการให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ....
3. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์การให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
ร่างประกาศและร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับในเรื่องนี้ เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 โดยมีหลักการสอดคล้องกับแผนพัฒนากฎหมายแห่งชาติ และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
1. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายและกำกับบริหารหนี้สาธารณะ เรื่อง หลักเกณฑ์และกรอบวงเงินการค้ำประกันและการให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเพดานของวงเงินการค้ำประกัน หรือวงเงินให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐแต่ละราย โดยใช้สัดส่วนของหนี้สินต่อเงินกองทุน (Debt to Equity Ratio) เป็นเกณฑ์ ดังนี้
1.1 กรณีของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด หรือ สถาบันการเงิน ภาครัฐ ได้กำหนดสัดส่วนหนี้สินต่อเงินกองทุนไว้ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ได้กำหนดสัดส่วนหนี้สินต่อเงินกองทุนไว้ไม่เกิน 3 เท่า และรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นสถาบันการเงินภาครัฐได้กำหนดสัดส่วนหนี้สินต่อเงินกองทุนไว้ไม่เกิน 6 เท่า และจะไม่ค้ำประกันหรือให้กู้ต่อในกรณีที่มีเงินกองทุนติดลบ ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังจะค้ำประกัน หรือให้กู้ต่อเกินกว่าเพดานที่กำหนด ก็ให้เสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณาเป็นรายกรณี
1.2 กรณีรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นองค์การของรัฐจะพิจารณาตามความจำเป็น โดยไม่กำหนดเพดานไว้ เพื่อให้รัฐบาลมีความยืดหยุ่นในการสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐวิสาหกิจ โดยการจัดหาเงินกู้ให้ (Debt Financing) หรือจัดสรรเงินให้เป็นทุน (Equity Financing) โดยให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณากำหนดกรอบวงเงินที่จะค้ำประกัน หรือให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้เสนอกรอบวงเงินค้ำประกันหรือให้กู้ต่อที่เหมาะสม โดยต้องวิเคราะห์และประเมินถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะด้วย
2. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดอัตรา และเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม การค้ำประกัน และ การให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและการให้กู้ต่อ แก่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐ ดังนี้
2.1 กำหนดเพดานอัตราค่าธรรมเนียม โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมไว้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 0.50 ต่อปี และในการประเมินอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐแต่ละราย ให้ประเมินจากเครดิตของลูกหนี้แต่ละราย โดยใช้ส่วนต่าง (Spread) ของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหรือสถาบันการเงิน ภาครัฐที่กระทรวงการคลังค้ำประกันกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเป็นอัตราอ้างอิง และให้มีการประกาศอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวทุกวันที่ 30 เมษายน และ 31 ตุลาคมของทุกปี และให้กระทรวงการคลังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการ ค้ำประกันและหรือการให้กู้ต่อจากวงเงินค้ำประกันคงค้างและหรือวงเงินให้กู้ต่อคงค้าง โดยให้เรียกเก็บเป็นสกุลเงินตามที่ได้ค้ำประกันหรือให้กู้ต่อ และจะเรียกเก็บเป็นรายปีหรือรายครึ่งปีก็ได้ภายในกรอบอัตราที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะกำหนด
2.2 กำหนดยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและการให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐ ในโครงการหรือแผนงานตามนโยบายของรัฐบาล (PSO) หรือโครงการด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ไม่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ หรือการลงทุนใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ สำหรับรัฐวิสาหกิจ ส่วนสถาบันการเงินภาครัฐให้สามารถยกเว้นค่าธรรมได้ เฉพาะโครงการหรือแผนสนับสนุนสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล (PSO) ทั้งนี้ ให้บันทึกวงเงินค่าธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นให้เป็นส่วนหนึ่งของเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากรรัฐบาลในการดำเนินงานด้วย
2.3 การทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและการให้กู้ต่อ ในกรณีที่เห็นว่ารัฐวิสาหกิจหรือสถาบันการเงินภาครัฐรายใดที่กระทรวงการคลังค้ำประกันหรือให้กู้ต่อแล้วมี การเปลี่ยนแปลงสถานะของกิจการหรือฐานะการเงินซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระดับความเสี่ยงและภาระผูกพันของกระทรวงการคลังในการค้ำประกันและให้กู้ต่ออย่างมีนัยสำคัญ หรือประสบปัญหาในการดำเนินงานและสมควรได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากรัฐบาล ให้กระทรวงการคลังสามารถเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงอัตราและเงื่อนไขการเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและหรือให้กู้ต่อได้
3. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์การให้กู้ต่อของกระทรวงการคลัง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐสำหรับเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศในกรณีของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐ รวมทั้งสถาบันการเงินภาครัฐ กระทรวงการคลังสามารถให้กู้ต่อได้เพื่อสนับสนุนโครงการที่รัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม หรือเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน สำหรับกรณีรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ให้สามารถให้กู้ต่อได้เฉพาะเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้น โดยการให้กู้ต่อให้ดำเนินการได้โดยอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี พร้อมด้วยเหตุผลและความจำเป็นในการดำเนินการ แล้วรายงานการวิเคราะห์ต้นทุนและความเสี่ยงเปรียบเทียบด้วย ทั้งนี้ ให้จัดทำสัญญาให้กู้ต่อให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับจากวันที่กระทรวงการคลังได้ทำสัญญาผูกพันการกู้เงิน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 13 ธันวาคม 2548--จบ--