คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยดำเนินการ ดังนี้
1. ให้ ขสมก. กู้เงินชำระหนี้ค้างชำระค่าเหมาซ่อมและค่าเช่ารถพร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545-พฤษภาคม 2547 จำนวน 5,509.923 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าเหมาซ่อม จำนวน 3,753.565 ล้านบาท ค่าเช่า จำนวน 1,756.358 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินกู้ และค้ำประกันเงินกู้
2. ให้ ขสมก. และกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาจัดทำหนังสือค้ำประกันการชำระเงินล่าช้าในอนาคต หนังสือค้ำประกันธนาคารตามที่บริษัทผู้ให้บริการเหมาซ่อมและเช่ารถแจ้งให้ ขสมก. ดำเนินการก่อนการลดค่าเหมาซ่อมตลอดอายุสัญญาที่เหลือ
3. ให้ ขสมก. ลงทุนซื้อรถโดยสารยูโรทู จำนวน 1,297 คัน คิดเป็นเงินหลังจากบริษัทผู้ให้เช่าหักส่วนลดให้ ขสมก. แล้ว เป็นจำนวนเงิน 4,223.157 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุน และค้ำประกันเงินกู้
กระทรวงคมนาคม รายงานว่า
1. ขสมก. ประสบปัญหาการขาดทุนมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อพิจารณาจากงบการเงินแล้วจะพบว่า ภาระค่าใช้-จ่ายในการจ้างเหมาซ่อมและการเช่ารถโดยสารมีสัดส่วนถึงประมาณร้อยละ 36.55 ของค่าใช้จ่ายในการเดินรถ
2. ขสมก. มียอดหนี้สินค้างชำระ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2547 จำนวนมากถึง 34,143.539 ล้านบาท (ประกอบด้วยเงินต้น 32,889.186 ล้านบาทและดอกเบี้ย 1,254.353 ล้านบาท) ในจำนวนนี้เป็นหนี้ค่าจ้างเหมาซ่อมและค่าเช่ารถโดยสารถึง 8,385.128 ล้านบาท) และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2547 ให้ ขสมก. กู้เงินเพื่อชำระหนี้ในวงเงินที่ต่อรองแล้วเป็นเงิน 2,875.205 ล้านบาท (หนี้ค้างชำระค่าเหมาซ่อมระหว่าง มิถุนายน 2544-ตุลาคม 2545 จำนวน 2,877.33 ล้านบาท)
3. ขสมก. จึงมีหนี้ค้างชำระค่าเหมาซ่อม ระหว่าง พฤศจิกายน 2545-พฤษภาคม 2547 จำนวน 3,753.565 ล้านบาท และหนี้ค่าเช่ารถยนต์โดยสาร (ค้างชำระ ธันวาคม 2545-พฤษภาคม 2547) จำนวน 1,756.358 ล้านบาท (เงินต้น + ดอกเบี้ย) รวมทั้งสิ้น 5,509.923 ล้านบาท
4. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เป็นประธานในการเจรจาผู้ให้บริการเหมาซ่อมและเช่ารถโดยสาร ทำการลดราคาค่าเหมาซ่อมและค่าเช่ารถโดยสาร ซึ่งทางผู้ให้บริการตกลงให้ส่วนลดดังนี้
4.1 ผู้ให้บริการตกลงให้ส่วนลดค่าเหมาซ่อม ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 จนสิ้นสุดสัญญาเดิมของรถแต่ละรุ่น ในอัตราตั้งแต่ร้อยละ 10-30 คิดเป็นเงิน 1,497.497 ล้านบาท
4.2 ขณะนี้ ขสมก. ได้เช่ารถยูโรทู จำนวน 1,279 คัน โดยมีการกำหนดราคาค่าเช่ารายเดือนและมูลค่าการซื้อรถเช่าคืน ณ เวลาแต่ละเดือนเอาไว้ ซึ่งผู้ให้เช่าตกลงลดราคาซื้อคืนให้แก่ ขสมก. ในอัตราร้อยละ 10 สำหรับรถรุ่น 797 คัน และร้อยละ 18 สำหรับรุ่น 500 คัน คิดเป็นเงินที่ลด 688.596 ล้านบาท จากราคาตามสัญญา 4,911.755 ล้านบาท เหลือ 4,223.157 ล้านบาท แต่เนื่องจาก ขสมก. ไม่มีสภาพคล่องพอที่จะไปใช้ซื้อรถดังกล่าวได้ จึงต้องขอกู้เงินโดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันในรูปแบบการออกพันธบัตร อายุ 5 ปี ชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ในอัตราร้อยละ 4.55 ต่อปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการที่ ขสมก. ทำการผ่อนส่งค่าเช่าต่อไปเรื่อย ๆ เช่นที่ผ่านมาแล้ว ขสมก. จะสามารถประหยัดเงินลงได้อีก 2,247.48 ล้านบาท จึงรวมเป็นเงินที่ ขสมก. ประหยัดได้รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 1,497.497 + 2,247.48 = 3,744.977 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทผู้ให้บริการเหมาซ่อมและเช่ารถกำหนดเงื่อนไขในการให้ส่วนลดดังกล่าว ดังนี้
(1) ขอให้ ขสมก. ชำระค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสารพร้อมดอกเบี้ย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2544-เดือนตุลาคม 2545 จำนวนเงิน 2,875.205 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2547 แก่บริษัท ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2547
(2) ขอให้ ขสมก. ชำระค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาและค่าเช่าพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545-เดือนพฤษภาคม 2547 จำนวนเงิน 5,509.923 ล้านบาท แก่บริษัทภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2547
(3) ขสมก. จะต้องจัดทำหนังสือค้ำประกันของธนาคารให้ไว้แก่บริษัทตลอดอายุสัญญาเช่าและซ่อมแซมบำรุงรักษารถโดยสาร
5. โดยที่ ขสมก. ไม่อยู่ในสภาพที่จะชำระค่าเหมาซ่อมและค่าเช่ารถดังกล่าวได้ตามสัญญา ทำให้เกิดหนี้สะสมเป็นเวลานานต้องเสียเบี้ยปรับในอัตรา MLR+0.75% (หรือประมาณร้อยละ 6.50) ซึ่งหากกระทรวงการคลังสามารถ จัดหาแหล่งเงินกู้ที่มีอายุยาวนานในระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า MLR+0.75% เพื่อให้ ขสมก. นำมาชำระหนี้โดยเร็วก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายจากส่วนต่างของดอกเบี้ยดังกล่าวได้อีกไม่น้อย สำหรับการจัดทำหนังสือค้ำประกันธนาคารให้ไว้แก่บริษัทตลอดอายุสัญญาเช่าและซ่อมแซมบำรุงรักษารถโดยสารนั้น มีจุดประสงค์เพื่อเป็นการค้ำประกันการชำระเงินล่าช้าในอนาคต การที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดสัญญาจะเป็นผลดีต่อ ขสมก. ที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยปรับและจะได้ส่วนลดค่าเหมาซ่อมตลอดอายุสัญญา เป็นจำนวน 1,497.497 ล้านบาท กระทรวงคมนาคมจึงเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-
1. ให้ ขสมก. กู้เงินชำระหนี้ค้างชำระค่าเหมาซ่อมและค่าเช่ารถพร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545-พฤษภาคม 2547 จำนวน 5,509.923 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าเหมาซ่อม จำนวน 3,753.565 ล้านบาท ค่าเช่า จำนวน 1,756.358 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินกู้ และค้ำประกันเงินกู้
2. ให้ ขสมก. และกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาจัดทำหนังสือค้ำประกันการชำระเงินล่าช้าในอนาคต หนังสือค้ำประกันธนาคารตามที่บริษัทผู้ให้บริการเหมาซ่อมและเช่ารถแจ้งให้ ขสมก. ดำเนินการก่อนการลดค่าเหมาซ่อมตลอดอายุสัญญาที่เหลือ
3. ให้ ขสมก. ลงทุนซื้อรถโดยสารยูโรทู จำนวน 1,297 คัน คิดเป็นเงินหลังจากบริษัทผู้ให้เช่าหักส่วนลดให้ ขสมก. แล้ว เป็นจำนวนเงิน 4,223.157 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาแหล่งเงินทุน และค้ำประกันเงินกู้
กระทรวงคมนาคม รายงานว่า
1. ขสมก. ประสบปัญหาการขาดทุนมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อพิจารณาจากงบการเงินแล้วจะพบว่า ภาระค่าใช้-จ่ายในการจ้างเหมาซ่อมและการเช่ารถโดยสารมีสัดส่วนถึงประมาณร้อยละ 36.55 ของค่าใช้จ่ายในการเดินรถ
2. ขสมก. มียอดหนี้สินค้างชำระ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2547 จำนวนมากถึง 34,143.539 ล้านบาท (ประกอบด้วยเงินต้น 32,889.186 ล้านบาทและดอกเบี้ย 1,254.353 ล้านบาท) ในจำนวนนี้เป็นหนี้ค่าจ้างเหมาซ่อมและค่าเช่ารถโดยสารถึง 8,385.128 ล้านบาท) และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2547 ให้ ขสมก. กู้เงินเพื่อชำระหนี้ในวงเงินที่ต่อรองแล้วเป็นเงิน 2,875.205 ล้านบาท (หนี้ค้างชำระค่าเหมาซ่อมระหว่าง มิถุนายน 2544-ตุลาคม 2545 จำนวน 2,877.33 ล้านบาท)
3. ขสมก. จึงมีหนี้ค้างชำระค่าเหมาซ่อม ระหว่าง พฤศจิกายน 2545-พฤษภาคม 2547 จำนวน 3,753.565 ล้านบาท และหนี้ค่าเช่ารถยนต์โดยสาร (ค้างชำระ ธันวาคม 2545-พฤษภาคม 2547) จำนวน 1,756.358 ล้านบาท (เงินต้น + ดอกเบี้ย) รวมทั้งสิ้น 5,509.923 ล้านบาท
4. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เป็นประธานในการเจรจาผู้ให้บริการเหมาซ่อมและเช่ารถโดยสาร ทำการลดราคาค่าเหมาซ่อมและค่าเช่ารถโดยสาร ซึ่งทางผู้ให้บริการตกลงให้ส่วนลดดังนี้
4.1 ผู้ให้บริการตกลงให้ส่วนลดค่าเหมาซ่อม ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 จนสิ้นสุดสัญญาเดิมของรถแต่ละรุ่น ในอัตราตั้งแต่ร้อยละ 10-30 คิดเป็นเงิน 1,497.497 ล้านบาท
4.2 ขณะนี้ ขสมก. ได้เช่ารถยูโรทู จำนวน 1,279 คัน โดยมีการกำหนดราคาค่าเช่ารายเดือนและมูลค่าการซื้อรถเช่าคืน ณ เวลาแต่ละเดือนเอาไว้ ซึ่งผู้ให้เช่าตกลงลดราคาซื้อคืนให้แก่ ขสมก. ในอัตราร้อยละ 10 สำหรับรถรุ่น 797 คัน และร้อยละ 18 สำหรับรุ่น 500 คัน คิดเป็นเงินที่ลด 688.596 ล้านบาท จากราคาตามสัญญา 4,911.755 ล้านบาท เหลือ 4,223.157 ล้านบาท แต่เนื่องจาก ขสมก. ไม่มีสภาพคล่องพอที่จะไปใช้ซื้อรถดังกล่าวได้ จึงต้องขอกู้เงินโดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันในรูปแบบการออกพันธบัตร อายุ 5 ปี ชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ในอัตราร้อยละ 4.55 ต่อปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการที่ ขสมก. ทำการผ่อนส่งค่าเช่าต่อไปเรื่อย ๆ เช่นที่ผ่านมาแล้ว ขสมก. จะสามารถประหยัดเงินลงได้อีก 2,247.48 ล้านบาท จึงรวมเป็นเงินที่ ขสมก. ประหยัดได้รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 1,497.497 + 2,247.48 = 3,744.977 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทผู้ให้บริการเหมาซ่อมและเช่ารถกำหนดเงื่อนไขในการให้ส่วนลดดังกล่าว ดังนี้
(1) ขอให้ ขสมก. ชำระค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสารพร้อมดอกเบี้ย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2544-เดือนตุลาคม 2545 จำนวนเงิน 2,875.205 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2547 แก่บริษัท ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2547
(2) ขอให้ ขสมก. ชำระค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาและค่าเช่าพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545-เดือนพฤษภาคม 2547 จำนวนเงิน 5,509.923 ล้านบาท แก่บริษัทภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2547
(3) ขสมก. จะต้องจัดทำหนังสือค้ำประกันของธนาคารให้ไว้แก่บริษัทตลอดอายุสัญญาเช่าและซ่อมแซมบำรุงรักษารถโดยสาร
5. โดยที่ ขสมก. ไม่อยู่ในสภาพที่จะชำระค่าเหมาซ่อมและค่าเช่ารถดังกล่าวได้ตามสัญญา ทำให้เกิดหนี้สะสมเป็นเวลานานต้องเสียเบี้ยปรับในอัตรา MLR+0.75% (หรือประมาณร้อยละ 6.50) ซึ่งหากกระทรวงการคลังสามารถ จัดหาแหล่งเงินกู้ที่มีอายุยาวนานในระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า MLR+0.75% เพื่อให้ ขสมก. นำมาชำระหนี้โดยเร็วก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายจากส่วนต่างของดอกเบี้ยดังกล่าวได้อีกไม่น้อย สำหรับการจัดทำหนังสือค้ำประกันธนาคารให้ไว้แก่บริษัทตลอดอายุสัญญาเช่าและซ่อมแซมบำรุงรักษารถโดยสารนั้น มีจุดประสงค์เพื่อเป็นการค้ำประกันการชำระเงินล่าช้าในอนาคต การที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดสัญญาจะเป็นผลดีต่อ ขสมก. ที่จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยปรับและจะได้ส่วนลดค่าเหมาซ่อมตลอดอายุสัญญา เป็นจำนวน 1,497.497 ล้านบาท กระทรวงคมนาคมจึงเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 สิงหาคม 2547--จบ--
-กภ-