คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องความตกลงทางการเงินสำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับประชาคมยุโรป ภายใต้กรอบ Small Projects Facility ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบเอกสารความตกลงทางการเงินระหว่างประชาคมยุโรปกับรัฐบาลไทย
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในเอกสารความตกลงทางการเงินระหว่างประชาคมยุโรปกับรัฐบาลไทยในนามของรัฐบาลไทย
3. สำหรับงบประมาณที่ผู้รับการสนับสนุนจะต้องสมทบให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณและให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการไปดำเนินการด้วยว่า
1) กระทรวงการต่างประเทศ ควรเป็นเจ้าภาพ ในการคัดเลือกกิจกรรมภายใต้โครงการความร่วมมือระดับสองฝ่ายภายใต้แผนงาน National Indicative Programme โดยอาจดำเนินการในรูปคณะทำงานที่มีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเพื่อพิจารณากลั่นกรองกิจกรรมให้มีความเชื่อมโยงเป็นระบบไม่ซ้ำซ้อนกัน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของชาติและวัตถุประสงค์ของความตกลงฯ
2) กระทรวงการต่างประเทศ ควรประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ ให้ทุกฝ่ายที่อาจขอรับการสนับสนุนจาก โครงการดังกล่าวได้ทราบ เพื่อจะได้เตรียมการในส่วนที่จะต้องรับผิดชอบในการสมทบค่าใช้จ่ายต่อไป เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า
1. คณะกรรมาธิการยุโรปได้จัดทำเอกสารความตกลงทางการเงินสำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับประชาคมยุโรปภายใต้กรอบ Small Projects Facility ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับขั้นตอนและรายละเอียดของการเสนอโครงการความร่วมมือระดับสองฝ่ายภายใต้แผนงาน National Indicative Programme ซึ่งฝ่ายคณะกรรมาธิการยุโรปได้ลงนามเรียบร้อยแล้วมาเพื่อฝ่ายไทยพิจารณาลงนาม
2. ความร่วมมือภายใต้กรอบ Small Projects Facility มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศไทย ด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือในสาขาที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ มีงบประมาณของโครงการทั้งหมด 6,320,000 ยูโร ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปจะให้ความสนับสนุนสูงสุด จำนวน 5,000,000 ยูโร และผู้ที่ได้รับการสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ จะต้องรับผิดชอบในส่วนที่เหลือในแต่ละกิจกรรม ซึ่งจะรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,320,000 ยูโร ทั้งนี้ ภายใต้วงเงิน 5,000,000 ยูโร ในส่วนของคณะกรรมาธิการยุโรปนั้น จะถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อใช้บริหารโครงการรวมทั้งสิ้น 1,040,000 ยูโร ส่งผลให้มูลค่าเงินเพื่อใช้ในการสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้โครงการในส่วนของคณะกรรมาธิการยุโรปจะให้ความสนับสนุนทางการเงินในแต่ละกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการไม่เกินร้อยละ 75 ของงบประมาณทั้งหมดของแต่ละกิจกรรมนั้น ๆ ภายในวงเงิน 30,000-200,000 ยูโรต่อกิจกรรมด้วย ดังนั้น ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจึงต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการสมทบค่าใช้จ่ายในแต่ละกิจกรรมในอัตราส่วนอย่างต่ำร้อยละ 25 ของงบประมาณทั้งหมดของกิจกรรมนั้น ๆ
3. Small Project Facility จะส่งผลให้เกิดกิจกรรมใน 3 ลักษณะ ดังนี้
(1) โครงการขนาดเล็กที่มีงบประมาณน้อยและมีช่วงเวลาจำกัด เป็นโครงการที่มีความสำคัญในแง่ ยุทธศาสตร์และอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป
(2) การสัมมนาและการประชุมเชิงปฏิบัติการเฉพาะกิจ
(3) ความชำนาญทางเทคนิคเฉพาะกิจระยะสั้น
ทั้งนี้ ผู้ขอรับความสนับสนุนควรเป็นหน่วยงานราชการ หรือองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรหน่วยงานท้องถิ่น สมาคมธุรกิจ มหาวิทยาลัย หรือสถาบันอื่น ๆ อาทิ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
4. ระยะเวลาในการดำเนินการตามความตกลง ฯ จะเริ่มเมื่อความตกลง ฯ มีผลใช้บังคับและสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 โดยระยะการดำเนินโครงการในเชิงปฏิบัติจะเริ่มตั้งแต่วันที่ความตกลง ฯ มีผลบังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2550 และการบริหารโครงการจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ทั้งนี้ สัญญาต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตามความ-ตกลง ฯ จะต้องลงนามอย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2549
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-
1. เห็นชอบเอกสารความตกลงทางการเงินระหว่างประชาคมยุโรปกับรัฐบาลไทย
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในเอกสารความตกลงทางการเงินระหว่างประชาคมยุโรปกับรัฐบาลไทยในนามของรัฐบาลไทย
3. สำหรับงบประมาณที่ผู้รับการสนับสนุนจะต้องสมทบให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณและให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการไปดำเนินการด้วยว่า
1) กระทรวงการต่างประเทศ ควรเป็นเจ้าภาพ ในการคัดเลือกกิจกรรมภายใต้โครงการความร่วมมือระดับสองฝ่ายภายใต้แผนงาน National Indicative Programme โดยอาจดำเนินการในรูปคณะทำงานที่มีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเพื่อพิจารณากลั่นกรองกิจกรรมให้มีความเชื่อมโยงเป็นระบบไม่ซ้ำซ้อนกัน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของชาติและวัตถุประสงค์ของความตกลงฯ
2) กระทรวงการต่างประเทศ ควรประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ ให้ทุกฝ่ายที่อาจขอรับการสนับสนุนจาก โครงการดังกล่าวได้ทราบ เพื่อจะได้เตรียมการในส่วนที่จะต้องรับผิดชอบในการสมทบค่าใช้จ่ายต่อไป เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่า
1. คณะกรรมาธิการยุโรปได้จัดทำเอกสารความตกลงทางการเงินสำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับประชาคมยุโรปภายใต้กรอบ Small Projects Facility ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับขั้นตอนและรายละเอียดของการเสนอโครงการความร่วมมือระดับสองฝ่ายภายใต้แผนงาน National Indicative Programme ซึ่งฝ่ายคณะกรรมาธิการยุโรปได้ลงนามเรียบร้อยแล้วมาเพื่อฝ่ายไทยพิจารณาลงนาม
2. ความร่วมมือภายใต้กรอบ Small Projects Facility มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศไทย ด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือในสาขาที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ มีงบประมาณของโครงการทั้งหมด 6,320,000 ยูโร ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปจะให้ความสนับสนุนสูงสุด จำนวน 5,000,000 ยูโร และผู้ที่ได้รับการสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ จะต้องรับผิดชอบในส่วนที่เหลือในแต่ละกิจกรรม ซึ่งจะรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,320,000 ยูโร ทั้งนี้ ภายใต้วงเงิน 5,000,000 ยูโร ในส่วนของคณะกรรมาธิการยุโรปนั้น จะถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อใช้บริหารโครงการรวมทั้งสิ้น 1,040,000 ยูโร ส่งผลให้มูลค่าเงินเพื่อใช้ในการสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้โครงการในส่วนของคณะกรรมาธิการยุโรปจะให้ความสนับสนุนทางการเงินในแต่ละกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการไม่เกินร้อยละ 75 ของงบประมาณทั้งหมดของแต่ละกิจกรรมนั้น ๆ ภายในวงเงิน 30,000-200,000 ยูโรต่อกิจกรรมด้วย ดังนั้น ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจึงต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการสมทบค่าใช้จ่ายในแต่ละกิจกรรมในอัตราส่วนอย่างต่ำร้อยละ 25 ของงบประมาณทั้งหมดของกิจกรรมนั้น ๆ
3. Small Project Facility จะส่งผลให้เกิดกิจกรรมใน 3 ลักษณะ ดังนี้
(1) โครงการขนาดเล็กที่มีงบประมาณน้อยและมีช่วงเวลาจำกัด เป็นโครงการที่มีความสำคัญในแง่ ยุทธศาสตร์และอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป
(2) การสัมมนาและการประชุมเชิงปฏิบัติการเฉพาะกิจ
(3) ความชำนาญทางเทคนิคเฉพาะกิจระยะสั้น
ทั้งนี้ ผู้ขอรับความสนับสนุนควรเป็นหน่วยงานราชการ หรือองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไรหน่วยงานท้องถิ่น สมาคมธุรกิจ มหาวิทยาลัย หรือสถาบันอื่น ๆ อาทิ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
4. ระยะเวลาในการดำเนินการตามความตกลง ฯ จะเริ่มเมื่อความตกลง ฯ มีผลใช้บังคับและสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 โดยระยะการดำเนินโครงการในเชิงปฏิบัติจะเริ่มตั้งแต่วันที่ความตกลง ฯ มีผลบังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2550 และการบริหารโครงการจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ทั้งนี้ สัญญาต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตามความ-ตกลง ฯ จะต้องลงนามอย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2549
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 พฤศจิกายน 2547--จบ--
-กภ-