ทำเนียบรัฐบาล--9 ส.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. .... ตามที่กระ ทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเสนอ และให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. ปรับปรุงนิยามศัพท์ที่สำคัญ
1.1 ใช้คำว่า "นายจ้าง" แทนคำว่า "ฝ่ายบริหาร" ตามกฎหมายปัจจุบัน โดยให้ หมายความว่ารัฐวิสาหกิจซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ และให้หมายความรวมถึงผู้มีอำ นาจกระทำแทนรัฐวิสาหกิจ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนรัฐวิสาหกิจด้วย
1.2 ใช้คำว่า "ลูกจ้าง" แทนคำว่า "ฝ่ายพนักงาน" ตามกฎหมายปัจจุบัน โดยให้ หมายความว่าผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง
1.3 เพิ่มเติมคำว่า "ฝ่ายบริหาร" ให้หมายความว่า ผู้ซึ่งทำงานในรัฐวิสาหกิจระดับผู้บังคับ บัญชาที่มีอำนาจในการจ้าง เลิกจ้าง ขึ้นค่าจ้าง ตัดค่าจ้าง หรือลดค่าจ้าง
1.4 ใช้คำว่า "สภาพการจ้าง" แทนคำว่า "สิทธิประโยชน์" ตามกฎหมายปัจจุบัน โดยให้ หมายถึงเงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน กำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ การเลิกจ้าง หรือประโยชน์ของนายจ้างหรือลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน
2. องค์ประกอบของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กำหนดให้มี "คณะกรรมการ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์" แทน "คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์" องค์ประกอบมีลักษณะเป็นไตร ภาคี ประกอบด้วย ฝ่ายรัฐบาล 5 คน ฝ่ายนายจ้าง 5 คน และฝ่ายลูกจ้าง 5 คน และให้หัวหน้าสำนัก งานคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสัง คม เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 5 คน เป็นที่ปรึกษา ของคณะกรรมการ แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุม
3. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ ของคณะกรรมการโดยให้มีอำนาจเสนอคณะรัฐมนตรีกำหนดขอบเขตข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกี่ยว กับการเงินที่ลูกจ้างกับนายจ้างอาจดำเนินการได้ ตลอดจนมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแรง งาน และอาจแต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อไกล่เกลี่ยก่อนมีคำวินิจฉัยชี้ขาดได้
4. การยื่นข้อเรียกร้อง เจรจาต่อรอง และระงับข้อพิพาทแรงงาน ให้สิทธิแก่นายจ้างและ ลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องต่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ โดยนำหลักเกณฑ์การเจรจาต่อรองตาม พระราชบัญญัติแรง งานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มากำหนดไว้แต่ได้ปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยหากเป็นการเจรจาต่อ รองทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มิใช่เรื่องเกี่ยวกับการเงินให้ข้อตกลงมีผลใช้บังคับได้ แต่ถ้าเป็น ข้อตกลงเกี่ยวกับการเงิน หากอยู่ในขอบเขตที่คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กำหนด ให้มีผล ใช้บังคับได้และถ้าข้อตกลงอยู่นอกขอบเขตที่คณะกรรมการฯ กำหนดต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐ มนตรีก่อน ข้อตกลงจึงจะมีผลใช้บังคับ
5. องค์ประกอบของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ กำหนดให้กรรมการของรัฐวิสาหกิจนั้นคน หนึ่งเป็นประธานกรรมการ และให้มีผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างไม่น้อยกว่าฝ่ายละ 5 คน แต่ไม่เกินฝ่ายละ 9 คน และได้มีการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ใหม่ให้เป็น เรื่องการร่วมปรึกษาหารือภายในของรัฐวิสาหกิจโดยไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจาต่อรอง
6. อายุข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กำหนดให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลบังคับ ใช้ตามที่นายจ้างและสหภาพแรงงานได้ตกลงกันและการจัดทำข้อตกลงฯ จะต้องมีผู้แทนในการเจรจา ของทั้งสองฝ่ายจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งลงลายมือชื่อในข้อตกลงฯ นั้น
7. คุณสมบัติและจำนวนสมาชิกสหภาพแรงงาน กำหนดคุณสมบัติของบุคคลซึ่งมีสิทธิจัดตั้งสห ภาพแรงงานได้ ยกเว้นฝ่ายบริหาร และให้มีสมาชิกไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมด และรัฐ วิสาหกิจแต่ละแห่งให้มีสหภาพแรงงานได้เพียงแห่งเดียว
8. การประชุมใหญ่ ไม่จำกัดว่าจะต้องประชุมในวันหยุดเท่านั้น จะประชุมในวันไหนก็ได้ขึ้น อยู่กับดุลยพินิจของผู้บริหาร และมิได้ให้อำนาจนายทะเบียนที่จะสั่งยับยั้งหรือสั่งยุติการประชุมใหญ่
9. การจัดตั้งสหพันธ์แรงงาน ให้สิทธิสหภาพแรงงานไม่น้อยกว่าสิบสหภาพ รวมกันจัดตั้ง สหพันธ์แรงงานได้ และสหพันธ์แรงงานอาจเข้าเป็นสมาชิกสภาองค์การลูกจ้างในภาคเอกชนได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 8 สิงหาคม 2538--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. .... ตามที่กระ ทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมเสนอ และให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. ปรับปรุงนิยามศัพท์ที่สำคัญ
1.1 ใช้คำว่า "นายจ้าง" แทนคำว่า "ฝ่ายบริหาร" ตามกฎหมายปัจจุบัน โดยให้ หมายความว่ารัฐวิสาหกิจซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ และให้หมายความรวมถึงผู้มีอำ นาจกระทำแทนรัฐวิสาหกิจ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจกระทำการแทนรัฐวิสาหกิจด้วย
1.2 ใช้คำว่า "ลูกจ้าง" แทนคำว่า "ฝ่ายพนักงาน" ตามกฎหมายปัจจุบัน โดยให้ หมายความว่าผู้ซึ่งตกลงทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง
1.3 เพิ่มเติมคำว่า "ฝ่ายบริหาร" ให้หมายความว่า ผู้ซึ่งทำงานในรัฐวิสาหกิจระดับผู้บังคับ บัญชาที่มีอำนาจในการจ้าง เลิกจ้าง ขึ้นค่าจ้าง ตัดค่าจ้าง หรือลดค่าจ้าง
1.4 ใช้คำว่า "สภาพการจ้าง" แทนคำว่า "สิทธิประโยชน์" ตามกฎหมายปัจจุบัน โดยให้ หมายถึงเงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน กำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ การเลิกจ้าง หรือประโยชน์ของนายจ้างหรือลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน
2. องค์ประกอบของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กำหนดให้มี "คณะกรรมการ แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์" แทน "คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์" องค์ประกอบมีลักษณะเป็นไตร ภาคี ประกอบด้วย ฝ่ายรัฐบาล 5 คน ฝ่ายนายจ้าง 5 คน และฝ่ายลูกจ้าง 5 คน และให้หัวหน้าสำนัก งานคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสัง คม เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้คณะกรรมการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 5 คน เป็นที่ปรึกษา ของคณะกรรมการ แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุม
3. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ ของคณะกรรมการโดยให้มีอำนาจเสนอคณะรัฐมนตรีกำหนดขอบเขตข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกี่ยว กับการเงินที่ลูกจ้างกับนายจ้างอาจดำเนินการได้ ตลอดจนมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแรง งาน และอาจแต่งตั้งบุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อไกล่เกลี่ยก่อนมีคำวินิจฉัยชี้ขาดได้
4. การยื่นข้อเรียกร้อง เจรจาต่อรอง และระงับข้อพิพาทแรงงาน ให้สิทธิแก่นายจ้างและ ลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องต่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ โดยนำหลักเกณฑ์การเจรจาต่อรองตาม พระราชบัญญัติแรง งานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มากำหนดไว้แต่ได้ปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยหากเป็นการเจรจาต่อ รองทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่มิใช่เรื่องเกี่ยวกับการเงินให้ข้อตกลงมีผลใช้บังคับได้ แต่ถ้าเป็น ข้อตกลงเกี่ยวกับการเงิน หากอยู่ในขอบเขตที่คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์กำหนด ให้มีผล ใช้บังคับได้และถ้าข้อตกลงอยู่นอกขอบเขตที่คณะกรรมการฯ กำหนดต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐ มนตรีก่อน ข้อตกลงจึงจะมีผลใช้บังคับ
5. องค์ประกอบของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ กำหนดให้กรรมการของรัฐวิสาหกิจนั้นคน หนึ่งเป็นประธานกรรมการ และให้มีผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้างไม่น้อยกว่าฝ่ายละ 5 คน แต่ไม่เกินฝ่ายละ 9 คน และได้มีการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ใหม่ให้เป็น เรื่องการร่วมปรึกษาหารือภายในของรัฐวิสาหกิจโดยไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจาต่อรอง
6. อายุข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กำหนดให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลบังคับ ใช้ตามที่นายจ้างและสหภาพแรงงานได้ตกลงกันและการจัดทำข้อตกลงฯ จะต้องมีผู้แทนในการเจรจา ของทั้งสองฝ่ายจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งลงลายมือชื่อในข้อตกลงฯ นั้น
7. คุณสมบัติและจำนวนสมาชิกสหภาพแรงงาน กำหนดคุณสมบัติของบุคคลซึ่งมีสิทธิจัดตั้งสห ภาพแรงงานได้ ยกเว้นฝ่ายบริหาร และให้มีสมาชิกไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของลูกจ้างทั้งหมด และรัฐ วิสาหกิจแต่ละแห่งให้มีสหภาพแรงงานได้เพียงแห่งเดียว
8. การประชุมใหญ่ ไม่จำกัดว่าจะต้องประชุมในวันหยุดเท่านั้น จะประชุมในวันไหนก็ได้ขึ้น อยู่กับดุลยพินิจของผู้บริหาร และมิได้ให้อำนาจนายทะเบียนที่จะสั่งยับยั้งหรือสั่งยุติการประชุมใหญ่
9. การจัดตั้งสหพันธ์แรงงาน ให้สิทธิสหภาพแรงงานไม่น้อยกว่าสิบสหภาพ รวมกันจัดตั้ง สหพันธ์แรงงานได้ และสหพันธ์แรงงานอาจเข้าเป็นสมาชิกสภาองค์การลูกจ้างในภาคเอกชนได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายบรรหาร ศิลปอาชา)--วันที่ 8 สิงหาคม 2538--