ทำเนียบรัฐบาล--3 ก.พ.--บิสนิวส์
คณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจรับทราบสถานการณ์และมาตรการชะลอการนำเข้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. สถานการณ์การนำเข้าของประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการนำเข้าสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นซึ่งผลิตเองไม่ได้ ต้องนำเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออกและเข้ามาพัฒนาประเทศ ซึ่งมีแหล่งที่นำเข้าที่สำคัญ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อาเซียนและสหภาพยุโรป ซึ่งกลุ่มสินค้าที่จะชะลอการนำเข้าได้โดยไม่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศ ได้แก่
1.1 สินค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคบางรายการ เช่น ผักผลไม้ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง เครื่องแต่งเรือน
1.2 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งบางรายการ เช่น รถยนต์นั่ง อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์
2. มาตรการชะลอการนำเข้า มีดังนี้
2.1 มาตรการชะลอการนำเข้าที่จะนำมาใช้ มีหลักเกณฑ์การพิจารณา ได้แก่ การชะลอการนำเข้าโดยใช้มาตรการห้ามการนำเข้าหรือการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้านั้นไม่ควรนำมาใช้ เนื่องจากจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหาย และถูกมองว่าประเทศไทยดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และจะทำให้เกิดปัญหาการค้าระหว่างประเทศขึ้น
2.2 มาตรการในการชะลอการนำเข้าที่จะดำเนินการ ได้แก่
1) ชะลอการใช้จ่ายของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจในการจัดซื้อครุภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ที่ยังไม่จำเป็น
2) การดำเนินมาตรการการคลัง เพื่อชะลอการบริโภคสินค้าที่ไม่จำเป็นในการดำเนินชีวิต เช่น การเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าฟุ่มเฟือย ได้แก่ สุรา ผลิตภัณฑ์ยาสูบ รถยนต์นั่ง เครื่องสำอาง
3) ใช้นโยบายจำกัดสินเชื่อสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์นั่ง
4) ปรับค่านิยมในการบริโภคพร้อมทั้งปลูกฝังจิตสำนึกในการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ลดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย เพิ่มมาตรการในการรณรงค์ลดการซื้อสินค้าต่างประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการให้ผู้นำในสังคมปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง
5) เพื่อมาตรการจูงใจให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ที่ดำเนินการส่งเสริมการซื้อสินค้าที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ
เนื่องจากมาตรการดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และจำเป็นต้องวิเคราะห์ศึกษาผลกระทบและความเป็นไปได้ที่จะนำไปปฏิบัติ เพื่อให้ไปตามนโยบายในด้านการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณ และการรักษาระดับดุลบัญชีเดินสะพัดของรัฐบาล จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ไปพิจารณารายละเอียดร่วมกันเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2540--
คณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจรับทราบสถานการณ์และมาตรการชะลอการนำเข้า ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
1. สถานการณ์การนำเข้าของประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการนำเข้าสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นซึ่งผลิตเองไม่ได้ ต้องนำเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออกและเข้ามาพัฒนาประเทศ ซึ่งมีแหล่งที่นำเข้าที่สำคัญ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อาเซียนและสหภาพยุโรป ซึ่งกลุ่มสินค้าที่จะชะลอการนำเข้าได้โดยไม่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศ ได้แก่
1.1 สินค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคบางรายการ เช่น ผักผลไม้ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง เครื่องแต่งเรือน
1.2 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งบางรายการ เช่น รถยนต์นั่ง อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์
2. มาตรการชะลอการนำเข้า มีดังนี้
2.1 มาตรการชะลอการนำเข้าที่จะนำมาใช้ มีหลักเกณฑ์การพิจารณา ได้แก่ การชะลอการนำเข้าโดยใช้มาตรการห้ามการนำเข้าหรือการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้านั้นไม่ควรนำมาใช้ เนื่องจากจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหาย และถูกมองว่าประเทศไทยดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และจะทำให้เกิดปัญหาการค้าระหว่างประเทศขึ้น
2.2 มาตรการในการชะลอการนำเข้าที่จะดำเนินการ ได้แก่
1) ชะลอการใช้จ่ายของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจในการจัดซื้อครุภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ที่ยังไม่จำเป็น
2) การดำเนินมาตรการการคลัง เพื่อชะลอการบริโภคสินค้าที่ไม่จำเป็นในการดำเนินชีวิต เช่น การเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าฟุ่มเฟือย ได้แก่ สุรา ผลิตภัณฑ์ยาสูบ รถยนต์นั่ง เครื่องสำอาง
3) ใช้นโยบายจำกัดสินเชื่อสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์นั่ง
4) ปรับค่านิยมในการบริโภคพร้อมทั้งปลูกฝังจิตสำนึกในการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ลดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย เพิ่มมาตรการในการรณรงค์ลดการซื้อสินค้าต่างประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้งการให้ผู้นำในสังคมปฏิบัติตนเป็นตัวอย่าง
5) เพื่อมาตรการจูงใจให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ที่ดำเนินการส่งเสริมการซื้อสินค้าที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ
เนื่องจากมาตรการดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และจำเป็นต้องวิเคราะห์ศึกษาผลกระทบและความเป็นไปได้ที่จะนำไปปฏิบัติ เพื่อให้ไปตามนโยบายในด้านการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณ และการรักษาระดับดุลบัญชีเดินสะพัดของรัฐบาล จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ไปพิจารณารายละเอียดร่วมกันเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2540--