ทำเนียบรัฐบาล--30 มิ.ย.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีพิจารณารายงานผลการเจรจากู้เงินจากธนาคารโลกเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
และการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการตามที่กำหนดไว้ในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยว
กับนโยบายเพื่อการพัฒนา (LDP) ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
2. อนุมัติให้กระทรวงการคลังในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกู้เงินจากธนาคารโลก วงเงิน
400 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเงิน
3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็น
ผู้ลงนามในสัญญากู้เงิน รวมทั้งเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
4. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดเตรียมทำความเห็นทางกฎหมายโดยด่วนต่อไปด้วย
อนึ่ง กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะผู้แทนไทยเพื่อเจรจารายละเอียดในร่างหนังสือแสดงเจตจำนง
เกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา รวมทั้ง Policy Matrix และร่างสัญญากู้เงิน ตลอดจนเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับธนาคารโลก ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมบัญชีกลาง กรม
บังคับคดีกระทรวงยุติธรรม สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน กรมทะเบียนการค้ากระทรวง
พาณิชย์ และสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย การเจรจากู้เงินระหว่างคณะผู้แทนไทยกับธนาคาร
โลกได้ดำเนินการโดยผ่านทาง Teleconference ระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม - 8 มิถุนายน 2541 โดยผลการ
เจรจามีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ธนาคารโลกตกลงให้ประเทศไทยกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเงิน (Economic
and FinancialAdjustment Loan) จำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสามารถเบิกจ่ายงวดเดียวทั้งจำนวนทันที
ที่สัญญากู้เงินมีผลบังคับใช้ ซึ่งการเบิกจ่ายเงินกู้ดังกล่าวรัฐบาลจะต้องดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ใน
หนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา ซึ่งได้มีการปรับถ้อยคำให้ชัดเจนและสอดคล้องกับความคืบหน้าใน
การดำเนินการตามแนวนโยบายของไทยในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในหลักการของมาตรการต่าง ๆ
ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2541 ทั้ง 5 ด้าน ซึ่งสาระสำคัญของมาตรการต่าง ๆ
ในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา สรุปได้ดังนี้
1.1 ด้านเศรษฐกิจมหภาคและการคลัง
1) รัฐบาลจะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่สอดคล้องกับแผนปรับปรุงแก้ไขเศรษฐกิจ คือการมีทุน
สำรองระหว่างประเทศพอเพียง และการดำเนินนโยบายการเงินอย่างมั่นคงเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
2) รัฐบาลจะพัฒนากรอบการดำเนินงานในการกำหนดฐานะการคลังให้มีความยืดหยุ่นได้ เพื่อให้
สามารถแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินและการหดตัวทางเศรษฐกิจ
3) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กระทรวงการคลังจะจัดเตรียมแผนปฏิบัติการเพิ่มขีดความสามารถ
ในการแข่งขันของภาคเอกชน
4) ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2541 คณะทำงานพิจารณามาตรการภาษีเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้และ
ทุนของภาคเอกชนฯ จะเสนอแนวทางในการพิจารณาเลื่อนระยะเวลาการชำระภาษีเงินได้ที่อาจเกิดขึ้นจากการโอนหุ้น
หรือทรัพย์สินในการควบและโอนกิจการ เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างองค์กร
5) ภายในวันที่ 30 กันยายน 2541 กระทรวงการคลังจะพิจารณาทบทวนประมวลรัษฎากรเพื่อให้
เอื้ออำนวยต่อการปรับโครงสร้างหนี้และทุนของบริษัท ซึ่งรวมทั้ง 1) การให้หักค่าใช้จ่ายจากดอกเบี้ยเงินกู้ 2) การส่ง
เสริมการปรับโครงสร้างหนี้ของกิจการบางประเภท และ 3) การส่งเสริมการควบคุมและโอนกิจการ
6) เพื่อส่งเสริมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อขจัดภาระภาษีอากรใด ๆ
ที่ขัดขวางการพัฒนาธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ในการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ(Special Purpose
Vehicles - SPV)
1.2 การปรับโครงสร้างทางการเงิน
1) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 ปรส. จะต้องขายทรัพย์สินทั้งหมด
2) บบส. จะบริหาร ปรับโครงสร้าง และดูแลสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพและจะขายสินทรัพย์ทั้ง
หมดให้แก่ ผู้ซื้อภาคเอกชน ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
3) กระทรวงการคลังจะคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเพื่อพิจารณาทบทวนแผนการดำเนินงานและ
ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหาร (MIS) ของ บบส. ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2541
4) ในระยะต่อไปธนาคารรัตนสินจะดำเนินการหาผู้ร่วมทุนจากต่างประเทศ (Strategic Foreign
Partner) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะควบรวมกิจการกับธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ระบบก
ารธนาคาร
5) ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย จะพัฒนากลยุทธ์ก
ารปรับโครงสร้างและการแปรรูปสำหรับธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งที่ทางการเข้าควบคุม
6) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 การวิเคราะห์ฐานะบริษัทเงินทุนทั้งหมดจะต้องเสร็จสิ้น
7) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำการตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ไทยที่รัฐบาลไม่ได้ควบคุมทั้งหมด
เพิ่มเติมโดยความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญ
8) จะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่กับธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนภายในวันที่ 15
สิงหาคม 2541 ซึ่งกำหนดให้สถาบันการเงินดำเนินการเพิ่มทุนเป็นลำดับ ให้สอดคล้องกับเกณฑ์การจัดชั้นสินทรัพย์แบบ
ใหม่และการกันสำรองใหม่ภายในปี 2543
9) ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงาน
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จะศึกษาทางเลือกสำหรับโครงการของสถาบันการเงินในอนาคตและจะ
เสนอทางเลือกแก่รัฐบาล
10) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กระทรวงการคลังจะพัฒนากรอบการกำกับดูแลสถาบันการเงิน
11) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาทบทวนโครงสร้างทางกฎหมายและกฎเกณฑ์การกำกับดูแล
ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541 และจากผลการทบทวนดังกล่าว ภายในวันที่ 31 ธันวาคม
2541 กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาการแก้ไขพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ และพระราชบัญญัติบริษัทเงินทุนฯ
12) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มกระบวนการในการแก้ไขกฎเกณฑ์
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และออกกฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเงินทุน ซึ่งรวมถึงกฎเกณฑ์เกี่ยว
กับการให้กู้ยืมแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องและธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ
13) กระทรวงการคลังจะพิจารณาทบทวนโครงสร้างกฎหมาย และกฎเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงิน
เฉพาะกิจ ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 และจากผลการทบทวนดังกล่าว ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กระทรวง
การคลังจะเริ่มกระบวนการในการแก้ไขกฎหมายและกฎเกณฑ์สำหรับสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และออก
กฎเกณฑ์ใหม่
14) ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 กระทรวงการคลังจะทำการประเมินความสามารถของธนาคาร
แห่งประเทศไทย และหน่วยงานในกระทรวงการคลังในการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจและจากผลการประเมิน
กระทรวงการคลังจะจัดทำแผนการพัฒนาองค์กรเพื่อเพิ่มศักยภาพของการกำกับดูแล
15) ภายในวันที่ 30 กันยายน 2541 กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยจะทบทวนข้อ
กำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานการบัญชี การสอบบัญชี และการเปิดเผยข้อมูลที่กำหนดให้สถาบันการเงินใช้อยู่ในปัจจุบัน และ
เสนอแนะการแก้ไขในเรื่องดังกล่าว
16) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 จะต้องมีการเสนอกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการบัญชี การสอบบัญชี
จากผู้สอบบัญชีภายนอก และการเปิดเผยข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
17) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย จะพัฒนาแผน
การจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝาก
1.3 การปฏิรูปกฎหมาย
1) ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 รัฐบาลจะเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.
2483 ต่อรัฐสภาเพื่อให้ลงมติรับรอง
2) ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541 รัฐบาลจะต้อง
(1) พยายามดำเนินการให้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ผ่านความเห็น
ชอบจากรัฐสภา
(2) สร้างความพร้อมในการปฏิบัติงานขึ้นในหน่วยงานที่ดำเนินการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแล
ของกระทรวงยุติธรรม
(3) ให้ความเห็นชอบในแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ซึ่งระบุถึงวิธีการจัดรูปแบบและงบประมาณ
ที่จะช่วยให้การดำเนินการตามกระบวนการล้มละลายของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3) รัฐบาลจะสนับสนุนการฝึกอบรมสัมมนาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในกฎหมายล้มละลายและการฟื้น
ฟูกิจการให้แก่ผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ทนายความ และนักการบัญชี เป็นต้น
4) เพื่อให้สามารถบังคับหลักประกันได้เร็วขึ้น ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 รัฐบาลจะต้องเสนอ
ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งต่อรัฐสภา และจัดเตรียมให้มีการปรับปรุงวิธีพิจารณาและกรอบการดำเนิน
การที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
5) ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541 รัฐบาลจะต้องพยายามดำเนินการให้ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
6) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 รัฐบาลจะต้องเสนอขั้นตอนในการปฏิบัติงานสำหรับการพิจารณาปรับ
ปรุงบรรพ 3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการตั้งศูนย์จดทะเบียนหลักประกันให้แล้วเสร็จ
7) รัฐบาลจะต้องพยายามหาแนวทางที่จะพัฒนาระบบการพิจารณาทางศาลให้การระงับข้อพิพาททางการค้า
เป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รวมถึงการบังคับคดีตามคำพิพากษาด้วย โดยถ้าจะต้องมีการเสนอระบบการ
พิจารณาใหม่ หรือมีความจำเป็นต้องปฏิรูปองค์กรก็ให้กระทำเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
1.4 การปรับปรุงวิธีปฏิบัติทางบัญชี การสอบบัญชี และการจัดการที่ดี
1) สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย (ICAAT) จะทำการศึกษาทบทวนการกำหนด
มาตรฐานและวิธีปฏิบัติทางบัญชี และกรอบกฎเกณฑ์ข้อบังคับของผู้ประกอบวิชาชีพนักบัญชี และผู้สอบบัญชีภายในวันที่ 30
กันยายน 2541 และจะเสนอผลของการศึกษาทบทวนดังกล่าวพร้อมทั้งข้อเสนอแนะในการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่
เกี่ยวข้องภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541
2) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย จะปรับบท
บาทและหน้าที่เป็นสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ สอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล ทั้งนี้ สมาคมนักบัญชีฯ จะเป็นผู้รับรองนักบัญชี
ประกันคุณภาพผู้สอบบัญชี และนำกฎจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพมาใช้
3) ทางการจะยกระดับมาตรฐานการจัดทำบัญชี และการตรวจสอบบัญชีตามมาตรฐานที่สอดคล้องกับวิธี
ปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับนานาชาติ สำหรับงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่มี
สินทรัพย์มากกว่า 1 พันล้านบาทขึ้นไป โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่งบการเงินสำหรับปี 2542 เป็นต้นไป
4) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 สมาคมนักบัญชีฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยคณะกรรมการกำกับหลัก
ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะร่วมกันจัดทำแผนปรับปรุงคุณภาพของ
รายงานงบการเงินของผู้สอบบัญชี (Audit Report) สำหรับบริษัทจดทะเบียน บริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้จดทะเบียน
ตลอดจนธนาคาร และสถาบันการเงิน
5) รัฐบาลจะนำข้อเสนอของสมาคมนักบัญชีฯ ในการแก้ไขแบบรายงานงบการเงินของผู้สอบบัญชี
(Audit Report) ซึ่งสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล ไปรวมในข้อกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของฝ่ายจัดการในการ
เตรียมงบการเงิน และความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชีในการให้ความเห็นต่องบการเงินอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้ จะต้อง
นำแบบรายงานงบการเงิน (Audit Report) แบบใหม่มาใช้ในการจัดทำงบการเงินของปี 2541 (Financial
Year 1998)
6) รัฐบาลมีแผนการที่จะขจัดภาระที่ไม่จำเป็นในการส่งรายงานงบการเงินของห้างหุ้นส่วนและบริษัท
จำกัดที่ไม่มีธุรกิจ (Inactive) และจะแก้ไขแบบรายงานเพื่อใช้สำหรับงบการเงินของปี 2541
7) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย จะทำการ
แก้ไขมาตรฐานการบัญชีเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลในงบการเงิน การจัดชั้นสินทรัพย์ การคำนวณราคาตลาดของหลักทรัพย์
และการตัดหนี้สูญและจะจัดทำมาตรฐานใหม่สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้สิน และสินทรัพย์ที่เสียหาย
8) ภายในวันที่ 30 กันยายน 2541 กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำการทบทวน
วิธีปฏิบัติทางบัญชี และกฎระเบียบเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล และข้อกำหนดอื่น ๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันสำหรับสถาบันการเงิน
ทั้งหมด และจะนำกฎระเบียบใหม่มาใช้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541
9) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กลต. ตลท. สมาคมนักบัญชีฯ และสมาคมผู้ตรวจสอบบัญชีฯ
จะพิจารณาทบทวนข้อกำหนดที่มีอยู่ในปัจจุบันสำหรับคณะกรรมการสอบบัญชี (Audit Committees) ของคณะกรรมการ
บริหารของบริษัทมหาชน
10) กลต. และ ตลท. จะดำเนินการศึกษาทบทวนหน้าที่และกระบวนการแต่งตั้งกรรมการ ความรับผิด
ชอบของพนักงาน และสิทธิของผู้ถือหุ้นในบริษัทมหาชน และบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนหนี้สินของกรรมการ พนักงาน และ
ผู้ถือหุ้น การศึกษาดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กรอบข้อกำหนด (TOR) ที่ธนาคารโลกให้ความเห็นชอบและต้องแล้ว
เสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2541 จากนั้นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 คณะทำงานประกอบด้วย กระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ กลต. ตลท. สมาคมผู้ตรวจสอบบัญชี และสมาคมนักบัญชีฯ จะนำผลการศึกษาดังกล่าวมาประกอบการ
พิจารณาเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบในการปกป้องสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อย และความน่าเชื่อถือ
ของกรรมการและพนักงานบริษัทซึ่งสามารถตรวจสอบได้
11) รัฐบาลจะทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กลต. และ
ตลท. ในการใช้อำนาจตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับบริษัทมหาชนโดยหารือธนาคารโลกรัฐบาลจะแก้ไขกฎหมาย
และกฎข้อบังคับต่าง ๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับการลงโทษพนักงานที่กระทำความผิดสำหรับบริษัทมหาชน
1.5 การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
1) รัฐบาลจะจัดตั้งสำนักงานรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงการคลังเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนคณะกรรมการ
กำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ และทำหน้าที่ในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดย
รวมของประเทศ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในโครงสร้างพื้นฐาน
2) รัฐบาลจะเสนอพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ ให้รัฐสภาพิจารณาภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541
กฎหมายนี้จะทำให้รัฐวิสาหกิจสามารถแปรรูปเป็นบริษัทเอกชนได้
3) ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2541 รัฐบาลจะเสนอแผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Master Plan)
ต่อคณะรัฐมนตรีซึ่งกำหนดกลยุทธ์ระยะปานกลางในการแปรรูป และการปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจภายใน 2 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ แผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะประกอบด้วย
- วัตถุประสงค์ การจัดองค์กร กลยุทธ์การแปรรูป และบทบาทของภาครัฐบาลในอนาคต
- ตารางเวลาและลำดับการปรับโครงสร้างไปสู่รูปแบบบริษัทและการขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจหลัก
(รวมทั้งสาขาโทรคมนาคม ประปา และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ)
- ทางเลือกกลยุทธ์เกี่ยวกับการลดสัดส่วนการถือหุ้น (การยุบเลิกการแปรรูปบางส่วนหรือเต็มรูปแบบ
โดยการร่วมลงทุน การขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง หรือการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ)
- กำหนดกรอบกฎเกณณ์การกำกับดูแลที่เหมาะสมสำหรับภาคขนส่ง ประปา พลังงานและโทรคมนาคม
- ปรับปรุงการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่แปรรูป
อนึ่ง เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2541 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง
เกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา (LDP) ซึ่งมีสาระสำคัญดังกล่าวข้างต้น และได้ส่งมอบให้ธนาคารโลกเรียบร้อยแล้ว
2. เงื่อนไขสัญญากู้เงิน
ผู้กู้ : กระทรวงการคลังในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
ผู้ให้กู้ : ธนาคารโลก
วงเงินกู้ : เป็นเงินกู้ในระบบเงินกู้สกุลเดียว (Single Currency
Loan) สกุลเงินเหรียญสหรัฐอัตราดอกเบี้ยคงที่ ในวงเงิน
400 ล้านเหรียญสหรัฐ
การเบิกจ่ายเงินกู้ : ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 หรือวันที่ธนาคารโลกจะ
แจ้งเป็นวันหลังจากนั้น โดยสามารถเบิกจ่ายงวดเดียวได้
ทั้งจำนวนทันทีที่สัญญากู้เงินมีผลบังคับใช้
ระยะเวลากู้เงิน : ประมาณ 15 ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี) สิ้นสุดใน
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2556
งวดการชำระดอกเบี้ย : ชำระดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง ในวันที่ 15 พฤษภาคม และ
15 พฤศจิกายน ของแต่ละปี
การชำระเงิน : แบ่งเป็น 24 งวด กำหนดชำระปีละ 2 ครั้ง ทุกวันที่
15 พฤษภาคม และ 15 พฤศจิกายน
โดยเริ่มชำระคืนต้นเงินกู้งวดแรกในวันชำระดอกเบี้ยงวดที่ 7
และชำระคืนต้นเงินกู้งวดสุดท้ายในวันชำระดอกเบี้ยงวดที่ 24
แต่ต้องไม่เกินวันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 ทั้งนี้การชำระต้น
เงินกู้แต่ละงวดต้องไม่ต่ำกว่า 1/18 ของยอดเงินกู้ที่เบิกจ่าย
งวดนั้น
ค่าธรรมเนียมผูกพัน : อัตราร้อยละ 0.75 ต่อปี ของวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย
เงินกู้
อัตราดอกเบี้ย : ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ของระบบเงินกู้สกุลเดียว สกุลเงินเหรียญ
สหรัฐ ซึ่งมีวิธีคำนวณตามอัตราต้นทุนการกู้เงินของธนาคารโลก
บวกค่าธรรมเนียมและส่วนต่าง ซึ่งวันกำหนดอัตราดอกเบี้ยจะ
ขึ้นอยู่กับวันที่เบิกจ่ายเงินกู้ และธนาคารโลกจะแจ้งอัตราดอก
เบี้ยให้ทราบหลังจากวันที่เบิกจ่ายเงินกู้แล้ว (ปัจจุบันอัตราดอก
เบี้ยคงที่สกุลเงินเหรียญสหรัฐ ประมาณร้อยละ 6.33 ต่อปี)
เงื่อนไขอื่น ๆ : 1. ผู้กู้จะต้องดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดในหนังสือแสดง
เจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา (LDP)
2. สัญญากู้เงินต้องมีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน หลังจากวันลง
นามในสัญญา
ในการนี้ กระทรวงการคลังขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติม ดังนี้
1. แนวนโยบายและมาตรการที่กำหนดให้รัฐบาลดำเนินการในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อ
การพัฒนาตามนัยข้อ 1 ทั้ง 5 ด้าน เป็นไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2541
2. เงื่อนไขที่กำหนดในร่างสัญญากู้เงินตามนัยที่กล่าวในข้อ 2 เป็นไปตามเงื่อนไขมาตรฐานสัญญากู้เงินของ
ธนาคารโลก
3. โดยที่แนวนโยบายและมาตรการที่กำหนดในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา (LDP)
ทั้ง 5 ด้านอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานต่าง ๆ หลายหน่วยงาน จึงเห็นสมควรมอบหมายให้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงยุติธรรม (กรมบังคับคดี) สำนักงานคณะกรรม
การกฤษฎีกา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า)
สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยสมาคมผู้ตรวจสอบบัญชีฯ องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการ
เงิน บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้กำหนดไว้ในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการ
พัฒนา (LDP) และใน Policy Matrix ให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด
4. เงินกู้รายการนี้ได้บรรจุอยู่ในแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2541 ซึ่งได้รับอนุมัติ
จากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2541 ในวงเงิน 350 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังดำเนิน
การปรับวงเงินในแผนการก่อหนี้ฯ เป็น 400 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในโอกาสแรกต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 30 มิถุนายน 2541--
คณะรัฐมนตรีพิจารณารายงานผลการเจรจากู้เงินจากธนาคารโลกเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
และการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการตามที่กำหนดไว้ในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยว
กับนโยบายเพื่อการพัฒนา (LDP) ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
2. อนุมัติให้กระทรวงการคลังในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกู้เงินจากธนาคารโลก วงเงิน
400 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเงิน
3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็น
ผู้ลงนามในสัญญากู้เงิน รวมทั้งเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
4. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดเตรียมทำความเห็นทางกฎหมายโดยด่วนต่อไปด้วย
อนึ่ง กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะผู้แทนไทยเพื่อเจรจารายละเอียดในร่างหนังสือแสดงเจตจำนง
เกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา รวมทั้ง Policy Matrix และร่างสัญญากู้เงิน ตลอดจนเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับธนาคารโลก ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมบัญชีกลาง กรม
บังคับคดีกระทรวงยุติธรรม สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน กรมทะเบียนการค้ากระทรวง
พาณิชย์ และสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย การเจรจากู้เงินระหว่างคณะผู้แทนไทยกับธนาคาร
โลกได้ดำเนินการโดยผ่านทาง Teleconference ระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม - 8 มิถุนายน 2541 โดยผลการ
เจรจามีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ธนาคารโลกตกลงให้ประเทศไทยกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเงิน (Economic
and FinancialAdjustment Loan) จำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสามารถเบิกจ่ายงวดเดียวทั้งจำนวนทันที
ที่สัญญากู้เงินมีผลบังคับใช้ ซึ่งการเบิกจ่ายเงินกู้ดังกล่าวรัฐบาลจะต้องดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ใน
หนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา ซึ่งได้มีการปรับถ้อยคำให้ชัดเจนและสอดคล้องกับความคืบหน้าใน
การดำเนินการตามแนวนโยบายของไทยในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในหลักการของมาตรการต่าง ๆ
ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2541 ทั้ง 5 ด้าน ซึ่งสาระสำคัญของมาตรการต่าง ๆ
ในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา สรุปได้ดังนี้
1.1 ด้านเศรษฐกิจมหภาคและการคลัง
1) รัฐบาลจะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่สอดคล้องกับแผนปรับปรุงแก้ไขเศรษฐกิจ คือการมีทุน
สำรองระหว่างประเทศพอเพียง และการดำเนินนโยบายการเงินอย่างมั่นคงเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
2) รัฐบาลจะพัฒนากรอบการดำเนินงานในการกำหนดฐานะการคลังให้มีความยืดหยุ่นได้ เพื่อให้
สามารถแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินและการหดตัวทางเศรษฐกิจ
3) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กระทรวงการคลังจะจัดเตรียมแผนปฏิบัติการเพิ่มขีดความสามารถ
ในการแข่งขันของภาคเอกชน
4) ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2541 คณะทำงานพิจารณามาตรการภาษีเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้และ
ทุนของภาคเอกชนฯ จะเสนอแนวทางในการพิจารณาเลื่อนระยะเวลาการชำระภาษีเงินได้ที่อาจเกิดขึ้นจากการโอนหุ้น
หรือทรัพย์สินในการควบและโอนกิจการ เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างองค์กร
5) ภายในวันที่ 30 กันยายน 2541 กระทรวงการคลังจะพิจารณาทบทวนประมวลรัษฎากรเพื่อให้
เอื้ออำนวยต่อการปรับโครงสร้างหนี้และทุนของบริษัท ซึ่งรวมทั้ง 1) การให้หักค่าใช้จ่ายจากดอกเบี้ยเงินกู้ 2) การส่ง
เสริมการปรับโครงสร้างหนี้ของกิจการบางประเภท และ 3) การส่งเสริมการควบคุมและโอนกิจการ
6) เพื่อส่งเสริมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อขจัดภาระภาษีอากรใด ๆ
ที่ขัดขวางการพัฒนาธุรกรรมการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ในการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ(Special Purpose
Vehicles - SPV)
1.2 การปรับโครงสร้างทางการเงิน
1) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 ปรส. จะต้องขายทรัพย์สินทั้งหมด
2) บบส. จะบริหาร ปรับโครงสร้าง และดูแลสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพและจะขายสินทรัพย์ทั้ง
หมดให้แก่ ผู้ซื้อภาคเอกชน ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
3) กระทรวงการคลังจะคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเพื่อพิจารณาทบทวนแผนการดำเนินงานและ
ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหาร (MIS) ของ บบส. ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2541
4) ในระยะต่อไปธนาคารรัตนสินจะดำเนินการหาผู้ร่วมทุนจากต่างประเทศ (Strategic Foreign
Partner) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะควบรวมกิจการกับธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ระบบก
ารธนาคาร
5) ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย จะพัฒนากลยุทธ์ก
ารปรับโครงสร้างและการแปรรูปสำหรับธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งที่ทางการเข้าควบคุม
6) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 การวิเคราะห์ฐานะบริษัทเงินทุนทั้งหมดจะต้องเสร็จสิ้น
7) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำการตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ไทยที่รัฐบาลไม่ได้ควบคุมทั้งหมด
เพิ่มเติมโดยความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญ
8) จะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่กับธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนภายในวันที่ 15
สิงหาคม 2541 ซึ่งกำหนดให้สถาบันการเงินดำเนินการเพิ่มทุนเป็นลำดับ ให้สอดคล้องกับเกณฑ์การจัดชั้นสินทรัพย์แบบ
ใหม่และการกันสำรองใหม่ภายในปี 2543
9) ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2541 กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงาน
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จะศึกษาทางเลือกสำหรับโครงการของสถาบันการเงินในอนาคตและจะ
เสนอทางเลือกแก่รัฐบาล
10) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กระทรวงการคลังจะพัฒนากรอบการกำกับดูแลสถาบันการเงิน
11) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาทบทวนโครงสร้างทางกฎหมายและกฎเกณฑ์การกำกับดูแล
ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541 และจากผลการทบทวนดังกล่าว ภายในวันที่ 31 ธันวาคม
2541 กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาการแก้ไขพระราชบัญญัติการธนาคาร
พาณิชย์ และพระราชบัญญัติบริษัทเงินทุนฯ
12) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มกระบวนการในการแก้ไขกฎเกณฑ์
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และออกกฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเงินทุน ซึ่งรวมถึงกฎเกณฑ์เกี่ยว
กับการให้กู้ยืมแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องและธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ
13) กระทรวงการคลังจะพิจารณาทบทวนโครงสร้างกฎหมาย และกฎเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงิน
เฉพาะกิจ ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 และจากผลการทบทวนดังกล่าว ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กระทรวง
การคลังจะเริ่มกระบวนการในการแก้ไขกฎหมายและกฎเกณฑ์สำหรับสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และออก
กฎเกณฑ์ใหม่
14) ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 กระทรวงการคลังจะทำการประเมินความสามารถของธนาคาร
แห่งประเทศไทย และหน่วยงานในกระทรวงการคลังในการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจและจากผลการประเมิน
กระทรวงการคลังจะจัดทำแผนการพัฒนาองค์กรเพื่อเพิ่มศักยภาพของการกำกับดูแล
15) ภายในวันที่ 30 กันยายน 2541 กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยจะทบทวนข้อ
กำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานการบัญชี การสอบบัญชี และการเปิดเผยข้อมูลที่กำหนดให้สถาบันการเงินใช้อยู่ในปัจจุบัน และ
เสนอแนะการแก้ไขในเรื่องดังกล่าว
16) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 จะต้องมีการเสนอกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการบัญชี การสอบบัญชี
จากผู้สอบบัญชีภายนอก และการเปิดเผยข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
17) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย จะพัฒนาแผน
การจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝาก
1.3 การปฏิรูปกฎหมาย
1) ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 รัฐบาลจะเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.
2483 ต่อรัฐสภาเพื่อให้ลงมติรับรอง
2) ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541 รัฐบาลจะต้อง
(1) พยายามดำเนินการให้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ผ่านความเห็น
ชอบจากรัฐสภา
(2) สร้างความพร้อมในการปฏิบัติงานขึ้นในหน่วยงานที่ดำเนินการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแล
ของกระทรวงยุติธรรม
(3) ให้ความเห็นชอบในแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ซึ่งระบุถึงวิธีการจัดรูปแบบและงบประมาณ
ที่จะช่วยให้การดำเนินการตามกระบวนการล้มละลายของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3) รัฐบาลจะสนับสนุนการฝึกอบรมสัมมนาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในกฎหมายล้มละลายและการฟื้น
ฟูกิจการให้แก่ผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ทนายความ และนักการบัญชี เป็นต้น
4) เพื่อให้สามารถบังคับหลักประกันได้เร็วขึ้น ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 รัฐบาลจะต้องเสนอ
ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งต่อรัฐสภา และจัดเตรียมให้มีการปรับปรุงวิธีพิจารณาและกรอบการดำเนิน
การที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
5) ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2541 รัฐบาลจะต้องพยายามดำเนินการให้ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
6) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 รัฐบาลจะต้องเสนอขั้นตอนในการปฏิบัติงานสำหรับการพิจารณาปรับ
ปรุงบรรพ 3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการตั้งศูนย์จดทะเบียนหลักประกันให้แล้วเสร็จ
7) รัฐบาลจะต้องพยายามหาแนวทางที่จะพัฒนาระบบการพิจารณาทางศาลให้การระงับข้อพิพาททางการค้า
เป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รวมถึงการบังคับคดีตามคำพิพากษาด้วย โดยถ้าจะต้องมีการเสนอระบบการ
พิจารณาใหม่ หรือมีความจำเป็นต้องปฏิรูปองค์กรก็ให้กระทำเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
1.4 การปรับปรุงวิธีปฏิบัติทางบัญชี การสอบบัญชี และการจัดการที่ดี
1) สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย (ICAAT) จะทำการศึกษาทบทวนการกำหนด
มาตรฐานและวิธีปฏิบัติทางบัญชี และกรอบกฎเกณฑ์ข้อบังคับของผู้ประกอบวิชาชีพนักบัญชี และผู้สอบบัญชีภายในวันที่ 30
กันยายน 2541 และจะเสนอผลของการศึกษาทบทวนดังกล่าวพร้อมทั้งข้อเสนอแนะในการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่
เกี่ยวข้องภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541
2) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย จะปรับบท
บาทและหน้าที่เป็นสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ สอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล ทั้งนี้ สมาคมนักบัญชีฯ จะเป็นผู้รับรองนักบัญชี
ประกันคุณภาพผู้สอบบัญชี และนำกฎจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพมาใช้
3) ทางการจะยกระดับมาตรฐานการจัดทำบัญชี และการตรวจสอบบัญชีตามมาตรฐานที่สอดคล้องกับวิธี
ปฏิบัติที่ดีที่สุดในระดับนานาชาติ สำหรับงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่มี
สินทรัพย์มากกว่า 1 พันล้านบาทขึ้นไป โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่งบการเงินสำหรับปี 2542 เป็นต้นไป
4) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 สมาคมนักบัญชีฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยคณะกรรมการกำกับหลัก
ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะร่วมกันจัดทำแผนปรับปรุงคุณภาพของ
รายงานงบการเงินของผู้สอบบัญชี (Audit Report) สำหรับบริษัทจดทะเบียน บริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่ไม่ได้จดทะเบียน
ตลอดจนธนาคาร และสถาบันการเงิน
5) รัฐบาลจะนำข้อเสนอของสมาคมนักบัญชีฯ ในการแก้ไขแบบรายงานงบการเงินของผู้สอบบัญชี
(Audit Report) ซึ่งสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสากล ไปรวมในข้อกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของฝ่ายจัดการในการ
เตรียมงบการเงิน และความรับผิดชอบของผู้สอบบัญชีในการให้ความเห็นต่องบการเงินอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้ จะต้อง
นำแบบรายงานงบการเงิน (Audit Report) แบบใหม่มาใช้ในการจัดทำงบการเงินของปี 2541 (Financial
Year 1998)
6) รัฐบาลมีแผนการที่จะขจัดภาระที่ไม่จำเป็นในการส่งรายงานงบการเงินของห้างหุ้นส่วนและบริษัท
จำกัดที่ไม่มีธุรกิจ (Inactive) และจะแก้ไขแบบรายงานเพื่อใช้สำหรับงบการเงินของปี 2541
7) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย จะทำการ
แก้ไขมาตรฐานการบัญชีเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลในงบการเงิน การจัดชั้นสินทรัพย์ การคำนวณราคาตลาดของหลักทรัพย์
และการตัดหนี้สูญและจะจัดทำมาตรฐานใหม่สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้สิน และสินทรัพย์ที่เสียหาย
8) ภายในวันที่ 30 กันยายน 2541 กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำการทบทวน
วิธีปฏิบัติทางบัญชี และกฎระเบียบเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล และข้อกำหนดอื่น ๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันสำหรับสถาบันการเงิน
ทั้งหมด และจะนำกฎระเบียบใหม่มาใช้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541
9) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 กลต. ตลท. สมาคมนักบัญชีฯ และสมาคมผู้ตรวจสอบบัญชีฯ
จะพิจารณาทบทวนข้อกำหนดที่มีอยู่ในปัจจุบันสำหรับคณะกรรมการสอบบัญชี (Audit Committees) ของคณะกรรมการ
บริหารของบริษัทมหาชน
10) กลต. และ ตลท. จะดำเนินการศึกษาทบทวนหน้าที่และกระบวนการแต่งตั้งกรรมการ ความรับผิด
ชอบของพนักงาน และสิทธิของผู้ถือหุ้นในบริษัทมหาชน และบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนหนี้สินของกรรมการ พนักงาน และ
ผู้ถือหุ้น การศึกษาดังกล่าวต้องดำเนินการภายใต้กรอบข้อกำหนด (TOR) ที่ธนาคารโลกให้ความเห็นชอบและต้องแล้ว
เสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2541 จากนั้นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 คณะทำงานประกอบด้วย กระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ กลต. ตลท. สมาคมผู้ตรวจสอบบัญชี และสมาคมนักบัญชีฯ จะนำผลการศึกษาดังกล่าวมาประกอบการ
พิจารณาเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบในการปกป้องสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อย และความน่าเชื่อถือ
ของกรรมการและพนักงานบริษัทซึ่งสามารถตรวจสอบได้
11) รัฐบาลจะทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กลต. และ
ตลท. ในการใช้อำนาจตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับบริษัทมหาชนโดยหารือธนาคารโลกรัฐบาลจะแก้ไขกฎหมาย
และกฎข้อบังคับต่าง ๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับการลงโทษพนักงานที่กระทำความผิดสำหรับบริษัทมหาชน
1.5 การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
1) รัฐบาลจะจัดตั้งสำนักงานรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงการคลังเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนคณะกรรมการ
กำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ และทำหน้าที่ในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดย
รวมของประเทศ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในโครงสร้างพื้นฐาน
2) รัฐบาลจะเสนอพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ ให้รัฐสภาพิจารณาภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541
กฎหมายนี้จะทำให้รัฐวิสาหกิจสามารถแปรรูปเป็นบริษัทเอกชนได้
3) ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2541 รัฐบาลจะเสนอแผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Master Plan)
ต่อคณะรัฐมนตรีซึ่งกำหนดกลยุทธ์ระยะปานกลางในการแปรรูป และการปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจภายใน 2 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ แผนแม่บทการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะประกอบด้วย
- วัตถุประสงค์ การจัดองค์กร กลยุทธ์การแปรรูป และบทบาทของภาครัฐบาลในอนาคต
- ตารางเวลาและลำดับการปรับโครงสร้างไปสู่รูปแบบบริษัทและการขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจหลัก
(รวมทั้งสาขาโทรคมนาคม ประปา และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ)
- ทางเลือกกลยุทธ์เกี่ยวกับการลดสัดส่วนการถือหุ้น (การยุบเลิกการแปรรูปบางส่วนหรือเต็มรูปแบบ
โดยการร่วมลงทุน การขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง หรือการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ)
- กำหนดกรอบกฎเกณณ์การกำกับดูแลที่เหมาะสมสำหรับภาคขนส่ง ประปา พลังงานและโทรคมนาคม
- ปรับปรุงการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่แปรรูป
อนึ่ง เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2541 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง
เกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา (LDP) ซึ่งมีสาระสำคัญดังกล่าวข้างต้น และได้ส่งมอบให้ธนาคารโลกเรียบร้อยแล้ว
2. เงื่อนไขสัญญากู้เงิน
ผู้กู้ : กระทรวงการคลังในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
ผู้ให้กู้ : ธนาคารโลก
วงเงินกู้ : เป็นเงินกู้ในระบบเงินกู้สกุลเดียว (Single Currency
Loan) สกุลเงินเหรียญสหรัฐอัตราดอกเบี้ยคงที่ ในวงเงิน
400 ล้านเหรียญสหรัฐ
การเบิกจ่ายเงินกู้ : ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2541 หรือวันที่ธนาคารโลกจะ
แจ้งเป็นวันหลังจากนั้น โดยสามารถเบิกจ่ายงวดเดียวได้
ทั้งจำนวนทันทีที่สัญญากู้เงินมีผลบังคับใช้
ระยะเวลากู้เงิน : ประมาณ 15 ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ 3 ปี) สิ้นสุดใน
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2556
งวดการชำระดอกเบี้ย : ชำระดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง ในวันที่ 15 พฤษภาคม และ
15 พฤศจิกายน ของแต่ละปี
การชำระเงิน : แบ่งเป็น 24 งวด กำหนดชำระปีละ 2 ครั้ง ทุกวันที่
15 พฤษภาคม และ 15 พฤศจิกายน
โดยเริ่มชำระคืนต้นเงินกู้งวดแรกในวันชำระดอกเบี้ยงวดที่ 7
และชำระคืนต้นเงินกู้งวดสุดท้ายในวันชำระดอกเบี้ยงวดที่ 24
แต่ต้องไม่เกินวันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 ทั้งนี้การชำระต้น
เงินกู้แต่ละงวดต้องไม่ต่ำกว่า 1/18 ของยอดเงินกู้ที่เบิกจ่าย
งวดนั้น
ค่าธรรมเนียมผูกพัน : อัตราร้อยละ 0.75 ต่อปี ของวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย
เงินกู้
อัตราดอกเบี้ย : ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ของระบบเงินกู้สกุลเดียว สกุลเงินเหรียญ
สหรัฐ ซึ่งมีวิธีคำนวณตามอัตราต้นทุนการกู้เงินของธนาคารโลก
บวกค่าธรรมเนียมและส่วนต่าง ซึ่งวันกำหนดอัตราดอกเบี้ยจะ
ขึ้นอยู่กับวันที่เบิกจ่ายเงินกู้ และธนาคารโลกจะแจ้งอัตราดอก
เบี้ยให้ทราบหลังจากวันที่เบิกจ่ายเงินกู้แล้ว (ปัจจุบันอัตราดอก
เบี้ยคงที่สกุลเงินเหรียญสหรัฐ ประมาณร้อยละ 6.33 ต่อปี)
เงื่อนไขอื่น ๆ : 1. ผู้กู้จะต้องดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดในหนังสือแสดง
เจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา (LDP)
2. สัญญากู้เงินต้องมีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน หลังจากวันลง
นามในสัญญา
ในการนี้ กระทรวงการคลังขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติม ดังนี้
1. แนวนโยบายและมาตรการที่กำหนดให้รัฐบาลดำเนินการในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อ
การพัฒนาตามนัยข้อ 1 ทั้ง 5 ด้าน เป็นไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2541
2. เงื่อนไขที่กำหนดในร่างสัญญากู้เงินตามนัยที่กล่าวในข้อ 2 เป็นไปตามเงื่อนไขมาตรฐานสัญญากู้เงินของ
ธนาคารโลก
3. โดยที่แนวนโยบายและมาตรการที่กำหนดในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการพัฒนา (LDP)
ทั้ง 5 ด้านอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง และหน่วยงานต่าง ๆ หลายหน่วยงาน จึงเห็นสมควรมอบหมายให้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงยุติธรรม (กรมบังคับคดี) สำนักงานคณะกรรม
การกฤษฎีกา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า)
สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยสมาคมผู้ตรวจสอบบัญชีฯ องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการ
เงิน บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้กำหนดไว้ในหนังสือแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อการ
พัฒนา (LDP) และใน Policy Matrix ให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด
4. เงินกู้รายการนี้ได้บรรจุอยู่ในแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2541 ซึ่งได้รับอนุมัติ
จากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2541 ในวงเงิน 350 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังดำเนิน
การปรับวงเงินในแผนการก่อหนี้ฯ เป็น 400 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในโอกาสแรกต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 30 มิถุนายน 2541--