ทำเนียบรัฐบาล--10 ส.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแนวทางการจำหน่ายกิจการธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อกระทรวงการคลังจะได้ใช้เป็นกรอบให้ผู้สนใจซื้อกิจการใช้เป็นแนวปฏิบัติในการเสนอราคาแข่งขันกับธนาคารสแตนดาร์ดชาเตอร์ด ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลของการจำหน่ายกิจการธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน)
สำหรับแนวทางการจำหน่ายกิจการธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน) เห็นควรกำหนดเพื่อให้ผู้สนใจซื้อกิจการใช้เป็นแนวทางในการเสนอราคา โดยยึดหลักการไม่เลือกปฏิบัติและไม่สร้างภาระทางการเงินให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มากกว่าวิธีการแก้ปัญหาสถาบันการเงินที่ใช้ในช่วงที่ผ่านมา และให้การขายเป็นไปอย่างโปร่งใสเช่นเดียวกับการขายธนาคารพาณิชย์ที่รัฐได้เข้าแทรกแซงอื่น ๆ โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. ในการขายหุ้นของธนาคารนครธนฯ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนเอกชนรายอื่นยื่นเสนอราคาซื้อหุ้นของธนาคารนครธนฯ ได้ ตามขั้นตอนที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ กำหนด เพื่อให้เปรียบเทียบกับราคาที่ธนาคารสแตนดาร์ดวาเตอร์ดเสนอได้ภายใน 60 วัน ครบกำหนดวันที่ 10 กันยายน 2542 หากไม่มีผู้ให้ราคาที่สูงกว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ก็จะขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้กับธนาคารสแตนดาร์ดชาเตอร์ด อนึ่ง ธนาคารสแตนดาร์ดชาเตอร์ดสามารถยื่นเสนอราคาใหม่ให้สูงกว่าเดิมได้ ในกรณีที่มีผู้ลงทุนภาคเอกชนรายอื่นยื่นเสนอราคา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทางการ
สำหรับการชดเชยนั้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปและผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากลูกหนี้ด้อยคุณภาพให้แก่ธนาคารนครธนฯ ในรูปของ Yield Maintenance และ Gain/Loss Sharing เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการขายหุ้นของธนาคารที่รัฐเข้าแทรกแซงอื่น ๆ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้ว และกระทรวงการคลังจะจ่ายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ อีกทอดหนึ่งตามหลักเกณฑ์ที่จะได้กำหนดต่อไป
2. วิธีการชดเชยลูกหนี้ด้อยคุณภาพ
1) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะจ่ายชดเชยให้แก่ธนาคารนครธนฯ สำหรับรายได้ที่ขาดหายไป (Yield Maintenance) ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ 5 ธนาคารใหญ่ บวกร้อยละ 1 โดยใช้ยอดคงค้างลูกหนี้ด้อยคุณภาพหลังหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่ได้กันไว้แล้วเป็นฐานในการคำนวณ หักด้วยดอกเบี้ยที่เรียกเก็บได้จากลูกหนี้ด้อยคุณภาพ โดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะจ่ายชดเชยเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยจ่ายเป็นเงินสดทุก 6 เดือน และกระทรวงการคลังจะจ่ายชดเชยให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ อีกทอดหนึ่ง ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังจะกำหนดขึ้นต่อไป
2) ในกรณีที่ธนาคารนครธนฯ ทำการปรับโครงสร้างหนี้หรือเรียกชำระเงินจากลูกหนี้ด้อยคุณภาพได้จริงต่ำกว่ายอดหนี้คงค้างหลังหักเงินสำรองเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพแล้ว ซึ่งก่อให้เกิดผลขาดทุน กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ต้องร่วมรับภาระการขาดทุนกับธนาคารนครธนฯ ด้วยดังนี้
2.1) ในกรณีที่มีผลขาดทุนสะสมเกินกว่าเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่มีอยู่แต่ไม่เกินกว่าเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่พึงมี กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะรับผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในส่วนที่เกินกว่าเงินสำรองเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่มีอยู่ทั้งจำนวน
2.2) ในกรณีที่มีผลขาดทุนสะสมเกินกว่าเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่พึงมี กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะรับผลขาดทุนร้อยละ 85 อีกร้อยละ 15 เป็นภาระของธนาคารนครธนฯ
2.3) เพื่อเป็นการจูงใจให้ธนาคารนครธนฯ บริหารลูกหนี้ให้เกิดผลขาดทุนน้อยที่สุด กองทุนจะแบ่งรายได้ที่เรียกเก็บได้ในส่วนที่สูงกว่ายอดคงค้างสุทธิหลังหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่พึงมีให้แก่ธนาคารนครธนฯ ในอัตราร้อยละ 5 โดยจะชดเชยเมื่อสิ้นปีที่ 5
3) ลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการชดเชย Loss sharing และ Yield Maintenance ได้แก่ ลูกหนี้ด้อยคุณภาพและสินทรัพย์อื่นตามที่จะตกลงกัน ธนาคารนครธนฯ สามารถนำลูกหนี้ที่มีคุณภาพเพิ่มรวมเข้าไปใน Covered Asset Pool ได้ภายในเวลา 6 เดือน แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของลูกหนี้ที่มีคุณภาพทั้งหมด และในกรณีที่มีการให้สินเชื่อเพิ่มเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ก็ให้นับรวมด้วยได้ แต่หากมีจำนวนเกิน 50 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 ของยอดหนี้คงค้าง ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารนครธนฯ ที่เป็นผู้แทนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งจะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 2 คนก่อน
ในการจำหน่ายกิจการธนาคารนครธนฯ โดยมี Yield Maintenance และ Gain/Loss Sharing ดังกล่าว กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้ประมาณการเบื้องต้นว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะมีรายจ่ายรวมสุทธิตลอดระยะเวลา 5 ปี ประมาณ 13,800 ล้านบาท (เมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน) ทั้งนี้ ยังไม่รวมรายได้ที่จะได้รับในอนาคตจากการขายหุ้นส่วนที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ยังคงถืออยู่
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 10 สิงหาคม 2542--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแนวทางการจำหน่ายกิจการธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อกระทรวงการคลังจะได้ใช้เป็นกรอบให้ผู้สนใจซื้อกิจการใช้เป็นแนวปฏิบัติในการเสนอราคาแข่งขันกับธนาคารสแตนดาร์ดชาเตอร์ด ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลของการจำหน่ายกิจการธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน)
สำหรับแนวทางการจำหน่ายกิจการธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน) เห็นควรกำหนดเพื่อให้ผู้สนใจซื้อกิจการใช้เป็นแนวทางในการเสนอราคา โดยยึดหลักการไม่เลือกปฏิบัติและไม่สร้างภาระทางการเงินให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มากกว่าวิธีการแก้ปัญหาสถาบันการเงินที่ใช้ในช่วงที่ผ่านมา และให้การขายเป็นไปอย่างโปร่งใสเช่นเดียวกับการขายธนาคารพาณิชย์ที่รัฐได้เข้าแทรกแซงอื่น ๆ โดยมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. ในการขายหุ้นของธนาคารนครธนฯ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนเอกชนรายอื่นยื่นเสนอราคาซื้อหุ้นของธนาคารนครธนฯ ได้ ตามขั้นตอนที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ กำหนด เพื่อให้เปรียบเทียบกับราคาที่ธนาคารสแตนดาร์ดวาเตอร์ดเสนอได้ภายใน 60 วัน ครบกำหนดวันที่ 10 กันยายน 2542 หากไม่มีผู้ให้ราคาที่สูงกว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ก็จะขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้กับธนาคารสแตนดาร์ดชาเตอร์ด อนึ่ง ธนาคารสแตนดาร์ดชาเตอร์ดสามารถยื่นเสนอราคาใหม่ให้สูงกว่าเดิมได้ ในกรณีที่มีผู้ลงทุนภาคเอกชนรายอื่นยื่นเสนอราคา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทางการ
สำหรับการชดเชยนั้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปและผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากลูกหนี้ด้อยคุณภาพให้แก่ธนาคารนครธนฯ ในรูปของ Yield Maintenance และ Gain/Loss Sharing เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการขายหุ้นของธนาคารที่รัฐเข้าแทรกแซงอื่น ๆ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้ว และกระทรวงการคลังจะจ่ายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ อีกทอดหนึ่งตามหลักเกณฑ์ที่จะได้กำหนดต่อไป
2. วิธีการชดเชยลูกหนี้ด้อยคุณภาพ
1) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะจ่ายชดเชยให้แก่ธนาคารนครธนฯ สำหรับรายได้ที่ขาดหายไป (Yield Maintenance) ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ 5 ธนาคารใหญ่ บวกร้อยละ 1 โดยใช้ยอดคงค้างลูกหนี้ด้อยคุณภาพหลังหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่ได้กันไว้แล้วเป็นฐานในการคำนวณ หักด้วยดอกเบี้ยที่เรียกเก็บได้จากลูกหนี้ด้อยคุณภาพ โดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะจ่ายชดเชยเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยจ่ายเป็นเงินสดทุก 6 เดือน และกระทรวงการคลังจะจ่ายชดเชยให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ อีกทอดหนึ่ง ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังจะกำหนดขึ้นต่อไป
2) ในกรณีที่ธนาคารนครธนฯ ทำการปรับโครงสร้างหนี้หรือเรียกชำระเงินจากลูกหนี้ด้อยคุณภาพได้จริงต่ำกว่ายอดหนี้คงค้างหลังหักเงินสำรองเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพแล้ว ซึ่งก่อให้เกิดผลขาดทุน กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ต้องร่วมรับภาระการขาดทุนกับธนาคารนครธนฯ ด้วยดังนี้
2.1) ในกรณีที่มีผลขาดทุนสะสมเกินกว่าเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่มีอยู่แต่ไม่เกินกว่าเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่พึงมี กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะรับผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในส่วนที่เกินกว่าเงินสำรองเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่มีอยู่ทั้งจำนวน
2.2) ในกรณีที่มีผลขาดทุนสะสมเกินกว่าเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่พึงมี กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะรับผลขาดทุนร้อยละ 85 อีกร้อยละ 15 เป็นภาระของธนาคารนครธนฯ
2.3) เพื่อเป็นการจูงใจให้ธนาคารนครธนฯ บริหารลูกหนี้ให้เกิดผลขาดทุนน้อยที่สุด กองทุนจะแบ่งรายได้ที่เรียกเก็บได้ในส่วนที่สูงกว่ายอดคงค้างสุทธิหลังหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้ด้อยคุณภาพที่พึงมีให้แก่ธนาคารนครธนฯ ในอัตราร้อยละ 5 โดยจะชดเชยเมื่อสิ้นปีที่ 5
3) ลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการชดเชย Loss sharing และ Yield Maintenance ได้แก่ ลูกหนี้ด้อยคุณภาพและสินทรัพย์อื่นตามที่จะตกลงกัน ธนาคารนครธนฯ สามารถนำลูกหนี้ที่มีคุณภาพเพิ่มรวมเข้าไปใน Covered Asset Pool ได้ภายในเวลา 6 เดือน แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของลูกหนี้ที่มีคุณภาพทั้งหมด และในกรณีที่มีการให้สินเชื่อเพิ่มเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ก็ให้นับรวมด้วยได้ แต่หากมีจำนวนเกิน 50 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 ของยอดหนี้คงค้าง ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารนครธนฯ ที่เป็นผู้แทนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งจะมีจำนวนไม่น้อยกว่า 2 คนก่อน
ในการจำหน่ายกิจการธนาคารนครธนฯ โดยมี Yield Maintenance และ Gain/Loss Sharing ดังกล่าว กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้ประมาณการเบื้องต้นว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะมีรายจ่ายรวมสุทธิตลอดระยะเวลา 5 ปี ประมาณ 13,800 ล้านบาท (เมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน) ทั้งนี้ ยังไม่รวมรายได้ที่จะได้รับในอนาคตจากการขายหุ้นส่วนที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ยังคงถืออยู่
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 10 สิงหาคม 2542--