แท็ก
คณะรัฐมนตรี
ทำเนียบรัฐบาล--7 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามที่คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการเสนอ ให้ระงับการจัดตั้งอำเภอและกิ่งอำเภอขึ้นใหม่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เนื่องจากคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการเสนอว่า
1. แผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ (พ.ศ. 2540 - พ.ศ. 2544) ได้กำหนดให้จัดโครงสร้างส่วนราชการให้สอดคล้องเหมาะสมกับการจัดกลุ่มภารกิจภาครัฐ สถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศ แต่ในขณะนี้สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีของประเทศเปลี่ยนแปลงไป จึงส่งผลกระทบต่อบทบาทภารกิจของส่วนราชการที่กำหนดไว้เดิม โดยเฉพาะส่วนราชการที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค เช่น บางพื้นที่ไม่มีป่าไม้หรือมีน้อย แต่ยังมีสำนักงานป่าไม้อำเภออยู่ หรือบางพื้นที่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมแล้ว แต่ก็ยังมีสำนักงานเกษตรอำเภออยู่ นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีสำนักงานสรรพากรอำเภอตั้งอยู่ในทุกอำเภอ/กิ่งอำเภอซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วเก็บภาษีได้เพียงเล็กน้อย จึงควรยุบได้ในบางอำเภอ และอาจจัดตั้งเป็นจุดบริการพิเศษขึ้น โดยให้สังกัดกับสำนักงานสรรพากรอำเภอขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงได้
2. จากการศึกษาทบทวนเกี่ยวกับนโยบายการปฏิรูประบบราชการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 จนถึงปัจจุบันพบว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายที่จะควบคุมจำนวนข้าราชการและจำนวนส่วนราชการมาโดยตลอด
3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 78 กำหนดให้รัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น มาตรา 282, 283 และ 284ได้กำหนดให้รัฐต้องให้ความเป็นอิสระแก่ท้องถิ่นในการปกครองตนเอง
4. ส่วนราชการที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคในปัจจุบันมีหลายระดับ คือ ภาค เขต ศูนย์ จังหวัด อำเภอ/กิ่งอำเภอ ซึ่งบทบาทภารกิจของบางส่วนราชการมีความเหลื่อมล้ำซ้ำซ้อนกันทั้งในระดับกรมและภายในกรม
5. ในสภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องควบคุมจำนวนข้าราชการและจำนวนส่วนราชการ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐลง
6. จากการศึกษาแนวทางการจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาค พบว่าในการจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาคในระดับต่าง ๆ ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งส่วนราชการอื่น ๆ กล่าวคือ
1) การจัดตั้งอำเภอ/กิ่งอำเภอขึ้นใหม่ จะทำให้ต้องจัดตั้งส่วนราชการประจำอำเภอ/กิ่งอำเภอ ขึ้นอีกอย่างน้อย 12ส่วนราชการ
2) การจัดตั้งจังหวัดขึ้นใหม่ จะทำให้ต้องจัดตั้งส่วนราชการประจำจังหวัดขึ้นอีก อย่างน้อย 33 ส่วนราชการ
3) การจัดตั้งศาลจังหวัดขึ้นใหม่ จะทำให้ต้องจัดตั้งส่วนราชการขึ้นอีก 2 ส่วนราชการ คือ สำนักงานอัยการประจำศาล 1 แห่ง และเรือนจำ 1 แห่ง
ซึ่งผลกระทบต่อส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวจะเกิดขึ้นทั้งในด้านแผนงาน ด้านงบประมาณและด้านอัตรากำลัง
7. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2540 เห็นว่า การจัดตั้งอำเภอและกิ่งอำเภอใหม่ทุกปี ๆ ละ 20 แห่ง โดยใช้ระบบโควตา และยึดจำนวนราษฎรเป็นหลัก น่าจะไม่ถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้การจัดตั้งอำเภอและกิ่งอำเภอแต่ละแห่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก มีผลกระทบต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านแผนงาน งบประมาณ และอัตรากำลัง ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายที่จะมุ่งเน้นให้มีการปรับลดขนาดกำลังคนภาครัฐ รักษาวินัยการเงิน การคลัง การประหยัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยเคร่งครัด ดังนั้น ในการจัดตั้งกิ่งอำเภอหรืออำเภอใหม่ในโอกาสต่อไป จึงให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในภาพรวมทั้งระบบ โดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริง ความจำเป็นและเหมาะสม ผลกระทบในด้านต่าง ๆ และความพร้อมของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ภาวะการเงินของประเทศ รวมทั้งนโยบายกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น และให้รายงานผลการพิจารณาประเด็นเหล่านี้ ในเวลาเสนอขอตั้งกิ่งอำเภอหรืออำเภอใหม่ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย
คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการเห็นว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2540 และเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2541 ให้ระงับหรือชะลอการจัดตั้ง หรือขยายหน่วยงานใหม่ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และให้ส่วนราชการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงานในกรมหรือภายในหน่วยงานเทียบเท่ากรมขึ้นไป ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2541 และ 2542 ยกเว้นการจัดตั้งส่วนราชการและการโอน หรือรวมส่วนราชการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะควบคุมจำนวนข้าราชการและจำนวนส่วนราชการ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังได้แสดงเจตนารมณ์ในการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเองให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้น การจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาคเพิ่มขึ้น จึงไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อพิจารณาประกอบกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2540 สมควรจะเร่งทบทวนแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาคเสียใหม่ โดยระงับการจัดตั้งอำเภอและกิ่งอำเภอใหม่ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพราะการจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาคขึ้นใหม่โดยเฉพาะการจัดตั้งอำเภอหรือกิ่งอำเภอขึ้นใหม่ นั้น นอกจากจะไม่สอดคล้องกับนโยบายการควบคุมจำนวนข้าราชการและจำนวนส่วนราชการและการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแล้ว ยังจะส่งผลกระทบต่อส่วนราชการอื่น ๆ กล่าวคือ หากจัดตั้งอำเภอหรือกิ่งอำเภอขึ้นใหม่ จะต้องมีการจัดตั้งส่วนราชการประจำอำเภอตามมาอีกอย่างน้อย 12 ส่วนราชการ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 กรกฎาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามที่คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการเสนอ ให้ระงับการจัดตั้งอำเภอและกิ่งอำเภอขึ้นใหม่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เนื่องจากคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการเสนอว่า
1. แผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ (พ.ศ. 2540 - พ.ศ. 2544) ได้กำหนดให้จัดโครงสร้างส่วนราชการให้สอดคล้องเหมาะสมกับการจัดกลุ่มภารกิจภาครัฐ สถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศ แต่ในขณะนี้สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีของประเทศเปลี่ยนแปลงไป จึงส่งผลกระทบต่อบทบาทภารกิจของส่วนราชการที่กำหนดไว้เดิม โดยเฉพาะส่วนราชการที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค เช่น บางพื้นที่ไม่มีป่าไม้หรือมีน้อย แต่ยังมีสำนักงานป่าไม้อำเภออยู่ หรือบางพื้นที่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมแล้ว แต่ก็ยังมีสำนักงานเกษตรอำเภออยู่ นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีสำนักงานสรรพากรอำเภอตั้งอยู่ในทุกอำเภอ/กิ่งอำเภอซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วเก็บภาษีได้เพียงเล็กน้อย จึงควรยุบได้ในบางอำเภอ และอาจจัดตั้งเป็นจุดบริการพิเศษขึ้น โดยให้สังกัดกับสำนักงานสรรพากรอำเภอขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงได้
2. จากการศึกษาทบทวนเกี่ยวกับนโยบายการปฏิรูประบบราชการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 จนถึงปัจจุบันพบว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายที่จะควบคุมจำนวนข้าราชการและจำนวนส่วนราชการมาโดยตลอด
3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 78 กำหนดให้รัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น มาตรา 282, 283 และ 284ได้กำหนดให้รัฐต้องให้ความเป็นอิสระแก่ท้องถิ่นในการปกครองตนเอง
4. ส่วนราชการที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคในปัจจุบันมีหลายระดับ คือ ภาค เขต ศูนย์ จังหวัด อำเภอ/กิ่งอำเภอ ซึ่งบทบาทภารกิจของบางส่วนราชการมีความเหลื่อมล้ำซ้ำซ้อนกันทั้งในระดับกรมและภายในกรม
5. ในสภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องควบคุมจำนวนข้าราชการและจำนวนส่วนราชการ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐลง
6. จากการศึกษาแนวทางการจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาค พบว่าในการจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาคในระดับต่าง ๆ ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งส่วนราชการอื่น ๆ กล่าวคือ
1) การจัดตั้งอำเภอ/กิ่งอำเภอขึ้นใหม่ จะทำให้ต้องจัดตั้งส่วนราชการประจำอำเภอ/กิ่งอำเภอ ขึ้นอีกอย่างน้อย 12ส่วนราชการ
2) การจัดตั้งจังหวัดขึ้นใหม่ จะทำให้ต้องจัดตั้งส่วนราชการประจำจังหวัดขึ้นอีก อย่างน้อย 33 ส่วนราชการ
3) การจัดตั้งศาลจังหวัดขึ้นใหม่ จะทำให้ต้องจัดตั้งส่วนราชการขึ้นอีก 2 ส่วนราชการ คือ สำนักงานอัยการประจำศาล 1 แห่ง และเรือนจำ 1 แห่ง
ซึ่งผลกระทบต่อส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวจะเกิดขึ้นทั้งในด้านแผนงาน ด้านงบประมาณและด้านอัตรากำลัง
7. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2540 เห็นว่า การจัดตั้งอำเภอและกิ่งอำเภอใหม่ทุกปี ๆ ละ 20 แห่ง โดยใช้ระบบโควตา และยึดจำนวนราษฎรเป็นหลัก น่าจะไม่ถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้การจัดตั้งอำเภอและกิ่งอำเภอแต่ละแห่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก มีผลกระทบต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านแผนงาน งบประมาณ และอัตรากำลัง ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายที่จะมุ่งเน้นให้มีการปรับลดขนาดกำลังคนภาครัฐ รักษาวินัยการเงิน การคลัง การประหยัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยเคร่งครัด ดังนั้น ในการจัดตั้งกิ่งอำเภอหรืออำเภอใหม่ในโอกาสต่อไป จึงให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในภาพรวมทั้งระบบ โดยคำนึงถึงสภาพความเป็นจริง ความจำเป็นและเหมาะสม ผลกระทบในด้านต่าง ๆ และความพร้อมของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ภาวะการเงินของประเทศ รวมทั้งนโยบายกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น และให้รายงานผลการพิจารณาประเด็นเหล่านี้ ในเวลาเสนอขอตั้งกิ่งอำเภอหรืออำเภอใหม่ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย
คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการเห็นว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2540 และเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2541 ให้ระงับหรือชะลอการจัดตั้ง หรือขยายหน่วยงานใหม่ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และให้ส่วนราชการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือขยายหน่วยงานในกรมหรือภายในหน่วยงานเทียบเท่ากรมขึ้นไป ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2541 และ 2542 ยกเว้นการจัดตั้งส่วนราชการและการโอน หรือรวมส่วนราชการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะควบคุมจำนวนข้าราชการและจำนวนส่วนราชการ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังได้แสดงเจตนารมณ์ในการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเองให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้น การจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาคเพิ่มขึ้น จึงไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อพิจารณาประกอบกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2540 สมควรจะเร่งทบทวนแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาคเสียใหม่ โดยระงับการจัดตั้งอำเภอและกิ่งอำเภอใหม่ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพราะการจัดตั้งส่วนราชการในภูมิภาคขึ้นใหม่โดยเฉพาะการจัดตั้งอำเภอหรือกิ่งอำเภอขึ้นใหม่ นั้น นอกจากจะไม่สอดคล้องกับนโยบายการควบคุมจำนวนข้าราชการและจำนวนส่วนราชการและการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแล้ว ยังจะส่งผลกระทบต่อส่วนราชการอื่น ๆ กล่าวคือ หากจัดตั้งอำเภอหรือกิ่งอำเภอขึ้นใหม่ จะต้องมีการจัดตั้งส่วนราชการประจำอำเภอตามมาอีกอย่างน้อย 12 ส่วนราชการ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 กรกฎาคม 2541--