คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน 2548 ณ เกาะเจจู สาธารณรัฐเกาหลี พร้อมกับเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเตรียมการเพื่อรองรับผลการเจรจา ซึ่งจะทำให้รายได้จากภาษีศุลกากรลดลง และเห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวกับการผลิต เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตเพื่อแสวงหาประโยชน์จากการเปิดตลาดและปรับตัวรองรับผลกระทบ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน 2548 ณ เกาะเจจู สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งผลการประชุมที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. การเจรจารอบโดฮาภายใต้องค์การการค้าโลก รัฐมนตรีการค้าเอเปคซึ่งเป็นสมาชิกที่สำคัญของ WTO สามารถสร้างพลวัตในการเจรจาได้โดยการแถลงจุดยืนที่ชัดเจนในหัวข้อที่มีการเจรจากัน โดยเฉพาะเรื่องการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรม (Nonagricultural Market Access) ที่ประชุมมีมติให้ใช้สูตรการลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งจะมีผลให้อัตราภาษีสูงลดลงมากกว่าอัตราภาษีต่ำ (Swiss Formula) โดยให้มีความยืนหยุ่นสำหรับประเทศกำลังพัฒนาสามารถลดภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น การที่สมาชิกเอเปคสามารถแถลงมติที่ชัดเจนได้ เมื่อรวมกับประชาคมยุโรป ซึ่งมีท่าทีในแนวทางเดียวกันก็จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่จะทำให้สมาชิกที่ยังไม่ตัดสินใจเข้าร่วม ซึ่งจะนำไปสู่ฉันทามติในเรื่องนี้ได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้แถลงต่อที่ประชุมว่าการเจรจาเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรจะต้องคืบหน้าไปพร้อม ๆ กัน สำหรับสูตรการลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมนั้น ไทยได้เสนอให้มีการศึกษาและแสดงกรณีตัวอย่าง (simulation) เพื่อให้สมาชิกทราบผลกระทบที่ชัดเจนและเตรียมพร้อมในการปรับตัว
2. การประเมินผลความคืบหน้าในการเปิดเสรีการค้าและการลงทุน ไทยได้กล่าวต่อที่ประชุมว่าการเปิดตลาดสินค้าเกษตรยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร จึงขอให้สมาชิกเอเปคดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะสมาชิกพัฒนาแล้วที่ต้องเปิดเสรี ฯ ภายในปี 2010 และที่ประชุมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จัดทำแนวทางการดำเนินงาน (roadmap) เพื่อให้การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมาย และให้การค้าในภูมิภาคเอเปคขยายตัวมากขึ้น
3. เขตการค้าเสรี ปัจจุบันสมาชิกเอเปคได้จัดทำเขตการค้าเสรีมากขึ้น ดังนั้น ในปีนี้เจ้าหน้าที่ได้เสนอให้ยกร่างแนวปฏิบัติเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้าและได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เอเปคจัดทำรายละเอียด และรายงานต่อที่ประชุมผู้นำในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ต่อไป
4. สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ที่ประชุมได้รับรองข้อเสนอการแก้ไขปัญหาสินค้าปลอมแปลงและการละเมิดลิขสิทธิ์บนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เอเปคจัดทำแนวทางการดำเนินงานต่อไป และให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่สมาชิกกำลังพัฒนา
5. ความร่วมมือด้านพลังงาน โครงการของไทยและออสเตรเลียในการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกว่าจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ และแนวทางในการเตรียมการและปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบ
6. ความร่วมมือด้านอาหาร ที่ประชุมรับทราบโครงการความร่วมมือด้านอาหารของจีน ออสเตรเลีย ไทย และเวียดนามด้านมาตรฐานและความปลอดภัยของสินค้าอาหาร ซึ่งนับว่ามีส่วนสนับสนุนโครงการความตกลงการยอมรับร่วมสินค้าอาหารรายสาขาของไทย เมื่อปี 2003
7. การหารือทวิภาคี ในช่วงระหว่างการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือทวิภาคีกับ 5 ประเทศ ได้แก่ ชิลี สาธารณรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา สาระสำคัญของการหารือ สรุปได้ดังนี้
7.1 ชิลี
การจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทยกับชิลี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าควรจัดจะทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกัน และผู้นำทั้งสองฝ่ายควรประกาศให้เริ่มการศึกษาดังกล่าว รวมทั้งให้มีการลงนามความตกลงยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนในระหว่างการเยือนประเทศชิลีอย่างเป็นทางการ
7.2 สาธารณรัฐเกาหลี
1) การจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับเกาหลีใต้ ฝ่ายเกาหลีแจ้งว่า เพื่อประโยชน์ในการรวมชาติเกาหลีเหนือ — ใต้ ขอความร่วมมืออาเซียนสนับสนุนให้สินค้าที่ผลิตในเขตอุตสาหกรรม Gaesong ที่ตั้งอยู่ในเกาหลีเหนือได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้เขตการค้าเสรีด้วย
2) มาตรฐานสุขอนามัยของเกาหลี ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าอาหารและผลไม้ไทยหลายชนิด เช่น ไก่ ลิ้นจี่ และลำไย ยังไม่สามารถส่งออกไปยังเกาหลีเพราะติดมาตรการสุขอนามัยของเกาหลีที่เข้มงวด จึงขอให้เกาหลีให้ความกระจ่างมากขึ้นเกี่ยวกับกฎระเบียบต่อไปด้วย
7.3 ออสเตรเลีย
มาตรฐานสุขอนามัย ฝ่ายออสเตรเลียได้สอบถามเกี่ยวกับกฎกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 11 ซึ่งกำหนดให้ผู้นำเข้าอาหารต้องมีหนังสือรับรองมาตรฐานและผลการตรวจวิเคราะห์ ซึ่งฝ่ายไทยได้ชี้แจงว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ทบทวนมาตรการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และขยายเวลาการบังคับใช้กฎดังกล่าวออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ขณะนี้ได้เวียนกฎระเบียบดังกล่าวให้ประเทศต่าง ๆ พิจารณาให้ความเห็น
7.4 เวียดนาม
ความร่วมมือสินค้าเกษตร ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าควรมีการร่วมมือเพิ่มขึ้นในการค้าสินค้าข้าว โดยฝ่ายเวียดนามเห็นด้วยกับฝ่ายไทยที่จะรักษาระดับราคาข้าวให้ใกล้เคียงกับราคาข้าวไทย และควรมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการแลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมกันนี้ ฝ่ายเวียดนามได้ขอความร่วมมือช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาสารตกค้างในสินค้ากุ้งที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ซึ่งฝ่ายไทยจะมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบประสานงานกับฝ่ายเวียดนามต่อไป
7.5 สหรัฐอเมริกา
1) การจัดทำเขตการค้าเสรีไทย — สหรัฐฯ ฝ่ายสหรัฐฯ ได้เน้นความสำคัญกับการเจรจาเรื่องการเงิน ซึ่งฝ่ายไทยชี้แจงว่า ในช่วงที่ผ่านมาไทยได้เปิดเสรีภาพการเงินตามลำดับ แต่เนื่องจากยังขาดความสามารถในการแข่งขันและระบบการตรวจสอบติดตามการแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีประสิทธิภาพ จึงต้องการเวลาในการปรับตัว พร้อมกันนี้ ไทยมีความกังวลอย่างมากว่า การเจรจาเรื่องสิทธิบัตรยาจะทำให้ราคายาแพงมากขึ้นและเพิ่มภาระให้แก่ผู้ป่วย รวมทั้งมีผลกระทบต่อโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรคและสังคมไทยโดยรวม ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ชี้แจงว่า สิ่งที่สนใจคือยาใหม่ที่ยังอยู่ภายใต้สิทธิบัตร และไทยจะยังคงมีสิทธิภายใต้ WTO ตามปฏิญญาโดฮา ที่ให้สิทธิใช้ compulsory licensing ผลิตได้
2) การค้ำประกันการนำเข้า (Continuous bond) สินค้ากุ้งไทยที่ถูก AD ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าการที่สหรัฐฯ ได้ปรับระเบียบการวางค้ำประกันเพื่อการนำเข้าสินค้ากุ้งที่ถูกใช้มาตรการ AD ได้ส่งผลให้อัตราค้ำประกันที่จะนำเข้ากุ้งจากไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 ซึ่งได้สร้างปัญหากับผู้ประกอบการไทยอย่างมาก เพราะทำให้ผู้นำเข้าหันไปซื้อกุ้งจากประเทศอื่น ๆ ที่สหรัฐฯ ไม่เก็บ AD เช่น อินโดนีเซีย ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ แจ้งว่าจะพิจารณาและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องการเปิดทบทวนการใช้มาตรการ AD กับสินค้ากุ้งจากไทยและภัยพิบัติ Tsunami ต่อไป
ข้อคิดเห็น
1. เรื่องการเปิดตลาดสินค้าภายใต้ WTO ปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราภาษีโดยเฉลี่ยต่ำ (ร้อยละ 3-5) ยกเว้นบางรายการที่ยังมีอัตราภาษีสูง (high tariffs/tariffs peak) (เช่น ประมง เครื่องหนัง สิ่งทอ รองเท้า และสินค้าเกษตร เป็นต้น) และภาษีขั้นบันได (tariffs escalation) ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนายังมีอัตราภาษีเฉลี่ยสูงอยู่ (อัตราผูกพันเฉลี่ยร้อยละ 25-30) ดังนั้น การใช้สูตร Swiss Formula (อัตราภาษีสูง ลดลงมากกว่าอัตราภาษีต่ำ) นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาอัตราภาษีสูง ภาษีขั้นบันไดแล้ว ยังจะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งเป็นคู่ค้าของไทยลดภาษีลงมาในอัตราที่สูงมาก
2. จากการปรับโครงสร้างของไทยครั้งล่าสุด ทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 10.7 นอกจากนั้น ไทยก็ได้ทำ FTA กับประเทศคู่ค้ารายใหญ่หลายรายซึ่งจะมีผลให้ไทยจะต้องลดอัตราภาษีลงมามาก ดังนั้น ไทยจึงควรผลักดันให้สมาชิก WTO ลดอัตราภาษีลงมาเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นการเปิดตลาดใหม่ให้แก่สินค้าส่งออกของไทย
3. ผลของการเจรจาเปิดตลาดสินค้าภายใต้ WTO และ FTA จะทำให้ไทยต้องปรับลดอัตราภาษีลงมา ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม สำหรับสินค้าอ่อนไหว เช่น รถยนต์ และสินค้าเกษตรบางรายการ ไทยจะเจรจาขอความยืดหยุ่นในฐานะประเทศกำลังพัฒนา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 28 มิถุนายน 2548--จบ--
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ระหว่างวันที่ 2-3 มิถุนายน 2548 ณ เกาะเจจู สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งผลการประชุมที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. การเจรจารอบโดฮาภายใต้องค์การการค้าโลก รัฐมนตรีการค้าเอเปคซึ่งเป็นสมาชิกที่สำคัญของ WTO สามารถสร้างพลวัตในการเจรจาได้โดยการแถลงจุดยืนที่ชัดเจนในหัวข้อที่มีการเจรจากัน โดยเฉพาะเรื่องการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรม (Nonagricultural Market Access) ที่ประชุมมีมติให้ใช้สูตรการลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งจะมีผลให้อัตราภาษีสูงลดลงมากกว่าอัตราภาษีต่ำ (Swiss Formula) โดยให้มีความยืนหยุ่นสำหรับประเทศกำลังพัฒนาสามารถลดภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้น การที่สมาชิกเอเปคสามารถแถลงมติที่ชัดเจนได้ เมื่อรวมกับประชาคมยุโรป ซึ่งมีท่าทีในแนวทางเดียวกันก็จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่จะทำให้สมาชิกที่ยังไม่ตัดสินใจเข้าร่วม ซึ่งจะนำไปสู่ฉันทามติในเรื่องนี้ได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้แถลงต่อที่ประชุมว่าการเจรจาเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรจะต้องคืบหน้าไปพร้อม ๆ กัน สำหรับสูตรการลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมนั้น ไทยได้เสนอให้มีการศึกษาและแสดงกรณีตัวอย่าง (simulation) เพื่อให้สมาชิกทราบผลกระทบที่ชัดเจนและเตรียมพร้อมในการปรับตัว
2. การประเมินผลความคืบหน้าในการเปิดเสรีการค้าและการลงทุน ไทยได้กล่าวต่อที่ประชุมว่าการเปิดตลาดสินค้าเกษตรยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร จึงขอให้สมาชิกเอเปคดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะสมาชิกพัฒนาแล้วที่ต้องเปิดเสรี ฯ ภายในปี 2010 และที่ประชุมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จัดทำแนวทางการดำเนินงาน (roadmap) เพื่อให้การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนเป็นไปตามเป้าหมาย และให้การค้าในภูมิภาคเอเปคขยายตัวมากขึ้น
3. เขตการค้าเสรี ปัจจุบันสมาชิกเอเปคได้จัดทำเขตการค้าเสรีมากขึ้น ดังนั้น ในปีนี้เจ้าหน้าที่ได้เสนอให้ยกร่างแนวปฏิบัติเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้าและได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เอเปคจัดทำรายละเอียด และรายงานต่อที่ประชุมผู้นำในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ต่อไป
4. สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ที่ประชุมได้รับรองข้อเสนอการแก้ไขปัญหาสินค้าปลอมแปลงและการละเมิดลิขสิทธิ์บนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เอเปคจัดทำแนวทางการดำเนินงานต่อไป และให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่สมาชิกกำลังพัฒนา
5. ความร่วมมือด้านพลังงาน โครงการของไทยและออสเตรเลียในการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกว่าจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ และแนวทางในการเตรียมการและปรับตัวเพื่อรองรับผลกระทบ
6. ความร่วมมือด้านอาหาร ที่ประชุมรับทราบโครงการความร่วมมือด้านอาหารของจีน ออสเตรเลีย ไทย และเวียดนามด้านมาตรฐานและความปลอดภัยของสินค้าอาหาร ซึ่งนับว่ามีส่วนสนับสนุนโครงการความตกลงการยอมรับร่วมสินค้าอาหารรายสาขาของไทย เมื่อปี 2003
7. การหารือทวิภาคี ในช่วงระหว่างการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือทวิภาคีกับ 5 ประเทศ ได้แก่ ชิลี สาธารณรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา สาระสำคัญของการหารือ สรุปได้ดังนี้
7.1 ชิลี
การจัดตั้งเขตการค้าเสรีไทยกับชิลี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าควรจัดจะทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างกัน และผู้นำทั้งสองฝ่ายควรประกาศให้เริ่มการศึกษาดังกล่าว รวมทั้งให้มีการลงนามความตกลงยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนในระหว่างการเยือนประเทศชิลีอย่างเป็นทางการ
7.2 สาธารณรัฐเกาหลี
1) การจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับเกาหลีใต้ ฝ่ายเกาหลีแจ้งว่า เพื่อประโยชน์ในการรวมชาติเกาหลีเหนือ — ใต้ ขอความร่วมมืออาเซียนสนับสนุนให้สินค้าที่ผลิตในเขตอุตสาหกรรม Gaesong ที่ตั้งอยู่ในเกาหลีเหนือได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้เขตการค้าเสรีด้วย
2) มาตรฐานสุขอนามัยของเกาหลี ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าอาหารและผลไม้ไทยหลายชนิด เช่น ไก่ ลิ้นจี่ และลำไย ยังไม่สามารถส่งออกไปยังเกาหลีเพราะติดมาตรการสุขอนามัยของเกาหลีที่เข้มงวด จึงขอให้เกาหลีให้ความกระจ่างมากขึ้นเกี่ยวกับกฎระเบียบต่อไปด้วย
7.3 ออสเตรเลีย
มาตรฐานสุขอนามัย ฝ่ายออสเตรเลียได้สอบถามเกี่ยวกับกฎกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 11 ซึ่งกำหนดให้ผู้นำเข้าอาหารต้องมีหนังสือรับรองมาตรฐานและผลการตรวจวิเคราะห์ ซึ่งฝ่ายไทยได้ชี้แจงว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ทบทวนมาตรการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และขยายเวลาการบังคับใช้กฎดังกล่าวออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ขณะนี้ได้เวียนกฎระเบียบดังกล่าวให้ประเทศต่าง ๆ พิจารณาให้ความเห็น
7.4 เวียดนาม
ความร่วมมือสินค้าเกษตร ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าควรมีการร่วมมือเพิ่มขึ้นในการค้าสินค้าข้าว โดยฝ่ายเวียดนามเห็นด้วยกับฝ่ายไทยที่จะรักษาระดับราคาข้าวให้ใกล้เคียงกับราคาข้าวไทย และควรมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการแลกเปลี่ยนข้อมูล พร้อมกันนี้ ฝ่ายเวียดนามได้ขอความร่วมมือช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาสารตกค้างในสินค้ากุ้งที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ซึ่งฝ่ายไทยจะมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบประสานงานกับฝ่ายเวียดนามต่อไป
7.5 สหรัฐอเมริกา
1) การจัดทำเขตการค้าเสรีไทย — สหรัฐฯ ฝ่ายสหรัฐฯ ได้เน้นความสำคัญกับการเจรจาเรื่องการเงิน ซึ่งฝ่ายไทยชี้แจงว่า ในช่วงที่ผ่านมาไทยได้เปิดเสรีภาพการเงินตามลำดับ แต่เนื่องจากยังขาดความสามารถในการแข่งขันและระบบการตรวจสอบติดตามการแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีประสิทธิภาพ จึงต้องการเวลาในการปรับตัว พร้อมกันนี้ ไทยมีความกังวลอย่างมากว่า การเจรจาเรื่องสิทธิบัตรยาจะทำให้ราคายาแพงมากขึ้นและเพิ่มภาระให้แก่ผู้ป่วย รวมทั้งมีผลกระทบต่อโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรคและสังคมไทยโดยรวม ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ชี้แจงว่า สิ่งที่สนใจคือยาใหม่ที่ยังอยู่ภายใต้สิทธิบัตร และไทยจะยังคงมีสิทธิภายใต้ WTO ตามปฏิญญาโดฮา ที่ให้สิทธิใช้ compulsory licensing ผลิตได้
2) การค้ำประกันการนำเข้า (Continuous bond) สินค้ากุ้งไทยที่ถูก AD ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าการที่สหรัฐฯ ได้ปรับระเบียบการวางค้ำประกันเพื่อการนำเข้าสินค้ากุ้งที่ถูกใช้มาตรการ AD ได้ส่งผลให้อัตราค้ำประกันที่จะนำเข้ากุ้งจากไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 ซึ่งได้สร้างปัญหากับผู้ประกอบการไทยอย่างมาก เพราะทำให้ผู้นำเข้าหันไปซื้อกุ้งจากประเทศอื่น ๆ ที่สหรัฐฯ ไม่เก็บ AD เช่น อินโดนีเซีย ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ แจ้งว่าจะพิจารณาและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องการเปิดทบทวนการใช้มาตรการ AD กับสินค้ากุ้งจากไทยและภัยพิบัติ Tsunami ต่อไป
ข้อคิดเห็น
1. เรื่องการเปิดตลาดสินค้าภายใต้ WTO ปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราภาษีโดยเฉลี่ยต่ำ (ร้อยละ 3-5) ยกเว้นบางรายการที่ยังมีอัตราภาษีสูง (high tariffs/tariffs peak) (เช่น ประมง เครื่องหนัง สิ่งทอ รองเท้า และสินค้าเกษตร เป็นต้น) และภาษีขั้นบันได (tariffs escalation) ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนายังมีอัตราภาษีเฉลี่ยสูงอยู่ (อัตราผูกพันเฉลี่ยร้อยละ 25-30) ดังนั้น การใช้สูตร Swiss Formula (อัตราภาษีสูง ลดลงมากกว่าอัตราภาษีต่ำ) นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาอัตราภาษีสูง ภาษีขั้นบันไดแล้ว ยังจะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งเป็นคู่ค้าของไทยลดภาษีลงมาในอัตราที่สูงมาก
2. จากการปรับโครงสร้างของไทยครั้งล่าสุด ทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 10.7 นอกจากนั้น ไทยก็ได้ทำ FTA กับประเทศคู่ค้ารายใหญ่หลายรายซึ่งจะมีผลให้ไทยจะต้องลดอัตราภาษีลงมามาก ดังนั้น ไทยจึงควรผลักดันให้สมาชิก WTO ลดอัตราภาษีลงมาเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นการเปิดตลาดใหม่ให้แก่สินค้าส่งออกของไทย
3. ผลของการเจรจาเปิดตลาดสินค้าภายใต้ WTO และ FTA จะทำให้ไทยต้องปรับลดอัตราภาษีลงมา ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม สำหรับสินค้าอ่อนไหว เช่น รถยนต์ และสินค้าเกษตรบางรายการ ไทยจะเจรจาขอความยืดหยุ่นในฐานะประเทศกำลังพัฒนา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 28 มิถุนายน 2548--จบ--