ทำเนียบรัฐบาล--27 พ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างอนุสัญญาเพื่อการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับประเทศไซปรัส ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทางการทูตเพื่อให้มีการลงนามอย่างเป็นทางการ และมีการแจ้งให้ทราบระหว่างกันต่อไป
อนึ่ง ร่างความตกลงดังกล่าว มีสาระสำคัญเพื่อการเว้นการยกเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้และการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศคู่สัญญา ทำนองเดียวกับอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่ประเทศไทยเคยตกลงไว้แล้วกับประเทศอื่น ๆ และมีผลใช้บังคับมานานแล้ว (ขณะนี้มี 30 ประเทศ) ความตกลงดังกล่าวจะก่อประโยชน์ที่สำคัญแก่ประเทศไทย ดังนี้
1. ช่วยขจัดหรือบรรเทาภาระภาษีซ้ำซ้อนอันเป็นอุปสรรคของการลงทุนระหว่างประเทศให้หมดไปในระดับหนึ่ง
2. อนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนจะทำให้เกิดหลักประกันในการเสียภาษีที่แน่นอนและชัดเจน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน และทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจในการลงทุนระหว่างประเทศ
3. จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเทคโนโลยีระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น
4. จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนระหว่างประเทศคู่สัญญา และช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
5. การที่อนุสัญญาฯ กำหนดให้หน่วยจัดเก็บภาษีของประเทศคู่สัญญาสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างกัน ทำให้การหลีกเลี่ยงภาษีอากรระหว่างประเทศทั้งสองเป็นไปได้ยาก จึงช่วยให้ประเทศคู่สัญญาสามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้น
6. จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกันได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนจากไซปรัสตัดสินใจมาลงทุนในประเทศไทยแทนประเทศอื่นซึ่งเป็นคู่แข่งขันของไทยในภูมิภาคเดียวกัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 27 พฤษภาคม 2540--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างอนุสัญญาเพื่อการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างไทยกับประเทศไซปรัส ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทางการทูตเพื่อให้มีการลงนามอย่างเป็นทางการ และมีการแจ้งให้ทราบระหว่างกันต่อไป
อนึ่ง ร่างความตกลงดังกล่าว มีสาระสำคัญเพื่อการเว้นการยกเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้และการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศคู่สัญญา ทำนองเดียวกับอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่ประเทศไทยเคยตกลงไว้แล้วกับประเทศอื่น ๆ และมีผลใช้บังคับมานานแล้ว (ขณะนี้มี 30 ประเทศ) ความตกลงดังกล่าวจะก่อประโยชน์ที่สำคัญแก่ประเทศไทย ดังนี้
1. ช่วยขจัดหรือบรรเทาภาระภาษีซ้ำซ้อนอันเป็นอุปสรรคของการลงทุนระหว่างประเทศให้หมดไปในระดับหนึ่ง
2. อนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนจะทำให้เกิดหลักประกันในการเสียภาษีที่แน่นอนและชัดเจน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน และทำให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจในการลงทุนระหว่างประเทศ
3. จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเทคโนโลยีระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น
4. จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนระหว่างประเทศคู่สัญญา และช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
5. การที่อนุสัญญาฯ กำหนดให้หน่วยจัดเก็บภาษีของประเทศคู่สัญญาสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างกัน ทำให้การหลีกเลี่ยงภาษีอากรระหว่างประเทศทั้งสองเป็นไปได้ยาก จึงช่วยให้ประเทศคู่สัญญาสามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้น
6. จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกันได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนจากไซปรัสตัดสินใจมาลงทุนในประเทศไทยแทนประเทศอื่นซึ่งเป็นคู่แข่งขันของไทยในภูมิภาคเดียวกัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 27 พฤษภาคม 2540--