แท็ก
คณะรัฐมนตรี
ทำเนียบรัฐบาล--15 ธ.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการตรวจสอบสิทธิ์ของราษฎรผู้ร้องเรียนจากผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. ขั้นตอนและกรอบแนวทางในการดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์ของราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล มีดังนี้
1.1 ในการดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ร้องเรียนจะต้องสอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
1.2 รัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการกลาง หรือคณะกรรมการร่วมระหว่างภาคราชการและตัวแทนราษฎร เพื่อแก้ไขปัญหาของผู้ร้องเรียนทุกกลุ่ม ซึ่งจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ที่รัฐบาลมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาเป็นประธาน และจะมีตัวแทนราษฎรผู้ร้องเรียนร่วมเป็นกรรมการด้วยกึ่งหนึ่ง
1.3 ใช้หลักเกณฑ์ในการตรวจสอบสิทธิ์ 5 ขั้นตอน เช่นเดียวกับที่ได้เคยดำเนินการมาแล้ว
1.4 จัดทำแผนผังแสดงตำแหน่งที่ดินของราษฎรผู้ร้องเรียนทุก ๆ กลุ่มที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน (ระวางแผ่นเดียวกัน) รวมทั้งกลุ่มที่ได้รับเงินค่าชดเชยไปแล้วเพื่อตรวจสอบการทับซ้อน ซึ่งดำเนินการโดยกรมที่ดิน
1.5 ตั้งคณะทำงานอ่านและแปลภาพถ่ายทางอากาศ (ประกอบด้วย กรมแผนที่ทหาร, กรมพัฒนาที่ดิน, กรมป่าไม้, กรมธนารักษ์, กรมที่ดิน และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน) เพื่อตรวจสอบการครอบครองและการทำประโยชน์ก่อนก่อสร้างโครงการ เนื่องจากพื้นที่ถูกน้ำท่วมไปแล้ว เป็นแนวทางเบื้องต้นให้คณะกรรมการระดับจังหวัดใช้ประกอบการพิจารณาสอบสวนสิทธิ์ต่อไป
1.6 คณะกรรมการระดับจังหวัดดำเนินการสอบสวนสิทธิ์และประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ เพื่อให้มีการคัดค้านภายใน 30 วันและสรุปเสนอคณะกรรมการกลาง หรือคณะกรรมการร่วมฯ ตามข้อ 1.2 พิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยต่อไป
2. ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 ร่วมกับจังหวัดที่เกี่ยวข้องทำแผนผังแปลงที่ดินราษฎร ทั้งที่ราษฎรชี้ตำแหน่งเอง และสำรวจรังวัดแปลงที่ดินของราษฎรตามที่ราษฎรนำชี้รังวัด และพร้อมกับคำนวณเนื้อที่แต่ละราย โดยเริ่มตั้งแต่มกราคม 2541 - กันยายน 2541 คำร้องรวมกันทุกกลุ่ม จำนวน 15,392 ราย
2.2 จัดส่งแผนผังของแต่ละระวางที่แสดงตำแหน่งรูปแปลงที่ดินของราษฎรที่ร้องเรียนของทุกกลุ่ม รวม 229 แผ่น ให้แก่กรมที่ดิน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2541 จนครบถ้วนในวันที่ 10 กันยายน 2541 เพื่อนำไปจัดแผนผังรวม จำนวน 115 ระวาง เพื่อจะนำมาตรวจสอบการทับซ้อน และกรมที่ดินได้ดำเนินการเสร็จแล้วบางส่วน และส่งให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานแล้ว 42 ระวาง เมื่อวันที่10 พฤศจิกายน 2541
2.3 ตรวจสอบการครอบครองและทำประโยชน์ตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้จากการตรวจสอบจริงในสนาม เนื่องจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูลจากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศมาประกอบ โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่ออ่านและแปลภาพถ่ายทางอากาศดำเนินการ ซึ่งคณะทำงานดังกล่าวจะประกอบไปด้วยหลายหน่วยงานคือ กรมที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน กรมแผนที่ทหาร กรมป่าไม้ กรมธนารักษ์ และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน โดยการอ่านและแปลภาพถ่ายจะดำเนินการเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำ (ระดับ 119 ม.รทก.) แต่เนื่องจากบริเวณพื้นที่ที่ราษฎรยื่นคำร้องขอรับค่าชดเชยครอบคลุมพื้นที่ถึง 115 ระวาง หรือ 460 ตารางกิโลเมตร มีการแจ้งการครอบครองในพื้นที่เดียวกันเป็นจำนวนมาก คณะทำงานเพื่ออ่านและแปลภาพถ่ายฯ ได้กำหนดแผนการปฏิบัติงานร่วมกันที่ชัดเจนและมีกำหนดแล้วเสร็จ ทั้งนี้ เนื่องจากการจัดทำแผนผังการทับซ้อนก็ดี การอ่านและแปลภาพถ่ายเพื่อตรวจสอบการครอบครองการทำประโยชน์ก็ดี จะต้องใช้เวลาในการดำเนินการซึ่งจากการพิจารณาร่วมกันปรากฏว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้นจนจบกรรมวิธีในการตรวจสอบ 5 ขั้นตอน และสรุปนำเสนอคณะกรรมการฯ หรือคณะกรรมการร่วมฯ ได้ภายใน 26 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2541 เป็นต้นไป ซึ่งจะครบกำหนดประมาณปลายเดือนมีนาคม 2542
2.4 จัดส่งระวางแผนผังแปลงที่ดินรวมของราษฎรที่ผ่านการอ่านของคณะทำงานฯ พร้อมรายละเอียดบัญชีรายชื่อราษฎรให้แก่คณะกรรมการระดับจังหวัดไปดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์และรับรองสิทธิ์ ตลอดจนประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ฯ ความข้อตกลง 5 ขั้นตอน โดยได้จัดส่งให้แล้วจำนวน 18 ระวาง (10 พฤศจิกายน 2541) เป็นจำนวนผู้ร้องเรียนรวมทุกกลุ่ม 3,414 แปลง
2.5 ประธานคณะอนุกรรมการกลุ่มปัญหาเรื่องเขื่อน (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) ได้ประชุมกับแกนนำและราษฎรผู้ร้องเรียนกลุ่มต่าง ๆ ทุกกลุ่ม และได้ชี้แจงตลอดจนกำหนกรอบระยะเวลาของการดำเนินงานแต่ละขั้นตอน เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนมีผลในทางปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1) ปิดรับคำร้องครั้งสุดท้ายเมื่อ 24 กรกฎาคม 2541
2) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม จะใช้เวลา 45 วัน ในการสำรวจรังวัด ขึ้นรูปแปลงที่ดินของราษฎรแต่ละกลุ่ม ทุกกลุ่มบนระวางแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศของกรมที่ดิน มาตราส่วน 1 : 4,000 ให้แล้วเสร็จทั้งหมด และนำส่งกรมที่ดินภายในวันที่ 10 กันยายน 2541 เพื่อจัดทำแผนผังแสดงการทับซ้อนของแปลงที่ดินที่ร้องเรียนร่วมกับแผนผังของกลุ่มที่ 1 (เท่าที่ได้ดำเนินการไป) ซึ่งได้รับเงินค่าชดเชยไปแล้ว
3) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม จะจัดส่งระวางแผนผังที่ผ่านการอ่าน และแปลภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบสิทธิ์ ของการทำประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีให้แก่คณะกรรมการระดับจังหวัดไปดำเนินการต่อไป โดยเริ่มต้นทยอยส่ง ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2541
4) คณะกรรมการระดับจังหวัดจะประกาศผู้มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเพื่อให้มีการคัดค้านภายใน 30 วัน โดยจะเริ่มทยอยประกาศตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2541
5) คณะกรรมการระดับจังหวัดจะสรุปรายชื่อผู้มีสิทธิ์ชุดแรกเสนอคณะกรรมการกลางฯ หรือคณะกรรมการร่วมฯได้ประมาณกลางเดือนมกราคม 2542 เพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ความช่วยเหลือ
2.6 เนื่องจากการเรียกร้องของราษฎรกรณีฝายราษีไศลเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป และมีการเสนอข่าวไปในทางที่ไม่เป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหา ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการ กลุ่มปัญหาเรื่องเขื่อน และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้พยายามชี้แจงให้แก่สื่อมวลชน แกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมให้เข้าใจขั้นตอนของการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ร้องเรียนได้ชัดเจนถูกต้อง และเป็นธรรม ตลอดจนปัญหาความยุ่งยากในการดำเนินการ ดังนี้คือ
1) จัดแถลงข่าวชี้แจงการดำเนินงานของการตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนหลายครั้ง ทั้งที่เป็นการจัดแถลงข่าวโดยตรงและแถลงข่าวภายหลังการประชุมเจรจา
2) ออกแถลงการณ์ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการ
3) ชี้แจงข้อเท็จจริงทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2541 ในรายการกรองสถานการณ์ โดยนำแผนผังระวางที่ดินที่แสดงตำแหน่งแปลงที่ดินของราษฎรผู้ร้องเรียนทุก ๆ กลุ่ม ประกอบในการชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้วย
4) สำหรับกรณีที่มีการประชุมเจรจาระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) กับแกนนำของสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (1) เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2541 ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีราษฎรมารร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมากและได้เกิดเหตุการณืที่เผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาการกับกลุ่มผู้ชุมนุม จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย โดยมีผู้ชุมนุมหญิงคนหนึ่งอ้างว่าได้รับบาดเจ็บจนแท้งบุตรนั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับแพทย์ผู้ตรวจอาการแล้วปรากฏว่าไม่มีการตั้งครรภ์หรือมีอาการแท้งบุตร ตกเลือด ตลอดจนไม่ปรากฏร่องรอยบาดเจ็บฟกช้ำภายนอกแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนไปแล้วเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2541
3. ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 21 เมษายน 2541 มีดังนี้
3.1 การพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดิน ซึ่งมีตำแหน่งที่ดินทับซ้อนกันระหว่างราษฎรที่รับเงินค่าชดเชยไปแล้ว (กลุ่มที่ 1ยื่นผ่านสมัชชาคนจน) กับราษฎรที่ร้องเรียนในครั้งนี้ ไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ เนื่องจาก
1) ราษฎรที่ได้รับเงินไปแล้วและมีแปลงทับซ้อนแต่ไม่มาให้ข้อมูลแก่ทางราชการ
2) ราษฎรที่ได้รับเงินไปแล้วบางราย แจ้งพื้นที่ครอบครองมากเกินความจริงกว่าที่ตนเองครอบครองอยู่ โดยแจ้งล้ำเข้าไปในพื้นที่ของราษฎรกลุ่มที่ 2 เป็นจำนวนหลายรายในแปลงที่ดินเดียวกัน และทุกรายเป็นผู้ครอบครองที่ดินในบริเวณดังกล่าวบางส่วนจริงและได้รับผลกระทบจากการกักเก็บน้ำที่ระดับ 119 ม.รทก. ซึ่งจะต้องให้ราษฎรกลุ่มที่ 1 ลดพื้นที่ลงและส่งเงินค่าชดเชยที่ได้รับไปแล้วบางส่วนคืน
3.2 เนื่องจากราษฎรที่ร้องเรียนในเขตอำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ในกลุ่มที่ 1 จำนวน 415 ราย และได้รับเงินค่าชดเชยรวม 180,720,000 บาท ไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่ยังมิได้แสดงตำแหน่งที่ดินที่ตนเองครอบครอง ซึ่งจังหวัดสุรินทร์ โดยอำเภอรัตนบุรีแจ้งให้ราษฎรกลุ่มที่ 1 เข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดนัดหมายวันที่จะลงตำแหน่งแปลงที่ดินที่ตนเองครอบครอง แต่ไม่มีผู้ใดมาแจ้ง อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาอุปสรรคดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาหาแนวทางแก้ไข โดยหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการตรวจสอบสิทธิ์ต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 15 ธันวาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการตรวจสอบสิทธิ์ของราษฎรผู้ร้องเรียนจากผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. ขั้นตอนและกรอบแนวทางในการดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์ของราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล มีดังนี้
1.1 ในการดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ร้องเรียนจะต้องสอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
1.2 รัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการกลาง หรือคณะกรรมการร่วมระหว่างภาคราชการและตัวแทนราษฎร เพื่อแก้ไขปัญหาของผู้ร้องเรียนทุกกลุ่ม ซึ่งจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ที่รัฐบาลมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาเป็นประธาน และจะมีตัวแทนราษฎรผู้ร้องเรียนร่วมเป็นกรรมการด้วยกึ่งหนึ่ง
1.3 ใช้หลักเกณฑ์ในการตรวจสอบสิทธิ์ 5 ขั้นตอน เช่นเดียวกับที่ได้เคยดำเนินการมาแล้ว
1.4 จัดทำแผนผังแสดงตำแหน่งที่ดินของราษฎรผู้ร้องเรียนทุก ๆ กลุ่มที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน (ระวางแผ่นเดียวกัน) รวมทั้งกลุ่มที่ได้รับเงินค่าชดเชยไปแล้วเพื่อตรวจสอบการทับซ้อน ซึ่งดำเนินการโดยกรมที่ดิน
1.5 ตั้งคณะทำงานอ่านและแปลภาพถ่ายทางอากาศ (ประกอบด้วย กรมแผนที่ทหาร, กรมพัฒนาที่ดิน, กรมป่าไม้, กรมธนารักษ์, กรมที่ดิน และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน) เพื่อตรวจสอบการครอบครองและการทำประโยชน์ก่อนก่อสร้างโครงการ เนื่องจากพื้นที่ถูกน้ำท่วมไปแล้ว เป็นแนวทางเบื้องต้นให้คณะกรรมการระดับจังหวัดใช้ประกอบการพิจารณาสอบสวนสิทธิ์ต่อไป
1.6 คณะกรรมการระดับจังหวัดดำเนินการสอบสวนสิทธิ์และประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ เพื่อให้มีการคัดค้านภายใน 30 วันและสรุปเสนอคณะกรรมการกลาง หรือคณะกรรมการร่วมฯ ตามข้อ 1.2 พิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยต่อไป
2. ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 ร่วมกับจังหวัดที่เกี่ยวข้องทำแผนผังแปลงที่ดินราษฎร ทั้งที่ราษฎรชี้ตำแหน่งเอง และสำรวจรังวัดแปลงที่ดินของราษฎรตามที่ราษฎรนำชี้รังวัด และพร้อมกับคำนวณเนื้อที่แต่ละราย โดยเริ่มตั้งแต่มกราคม 2541 - กันยายน 2541 คำร้องรวมกันทุกกลุ่ม จำนวน 15,392 ราย
2.2 จัดส่งแผนผังของแต่ละระวางที่แสดงตำแหน่งรูปแปลงที่ดินของราษฎรที่ร้องเรียนของทุกกลุ่ม รวม 229 แผ่น ให้แก่กรมที่ดิน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2541 จนครบถ้วนในวันที่ 10 กันยายน 2541 เพื่อนำไปจัดแผนผังรวม จำนวน 115 ระวาง เพื่อจะนำมาตรวจสอบการทับซ้อน และกรมที่ดินได้ดำเนินการเสร็จแล้วบางส่วน และส่งให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานแล้ว 42 ระวาง เมื่อวันที่10 พฤศจิกายน 2541
2.3 ตรวจสอบการครอบครองและทำประโยชน์ตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้จากการตรวจสอบจริงในสนาม เนื่องจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูลจากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศมาประกอบ โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่ออ่านและแปลภาพถ่ายทางอากาศดำเนินการ ซึ่งคณะทำงานดังกล่าวจะประกอบไปด้วยหลายหน่วยงานคือ กรมที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน กรมแผนที่ทหาร กรมป่าไม้ กรมธนารักษ์ และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน โดยการอ่านและแปลภาพถ่ายจะดำเนินการเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ในอ่างเก็บน้ำ (ระดับ 119 ม.รทก.) แต่เนื่องจากบริเวณพื้นที่ที่ราษฎรยื่นคำร้องขอรับค่าชดเชยครอบคลุมพื้นที่ถึง 115 ระวาง หรือ 460 ตารางกิโลเมตร มีการแจ้งการครอบครองในพื้นที่เดียวกันเป็นจำนวนมาก คณะทำงานเพื่ออ่านและแปลภาพถ่ายฯ ได้กำหนดแผนการปฏิบัติงานร่วมกันที่ชัดเจนและมีกำหนดแล้วเสร็จ ทั้งนี้ เนื่องจากการจัดทำแผนผังการทับซ้อนก็ดี การอ่านและแปลภาพถ่ายเพื่อตรวจสอบการครอบครองการทำประโยชน์ก็ดี จะต้องใช้เวลาในการดำเนินการซึ่งจากการพิจารณาร่วมกันปรากฏว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้นจนจบกรรมวิธีในการตรวจสอบ 5 ขั้นตอน และสรุปนำเสนอคณะกรรมการฯ หรือคณะกรรมการร่วมฯ ได้ภายใน 26 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2541 เป็นต้นไป ซึ่งจะครบกำหนดประมาณปลายเดือนมีนาคม 2542
2.4 จัดส่งระวางแผนผังแปลงที่ดินรวมของราษฎรที่ผ่านการอ่านของคณะทำงานฯ พร้อมรายละเอียดบัญชีรายชื่อราษฎรให้แก่คณะกรรมการระดับจังหวัดไปดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์และรับรองสิทธิ์ ตลอดจนประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ฯ ความข้อตกลง 5 ขั้นตอน โดยได้จัดส่งให้แล้วจำนวน 18 ระวาง (10 พฤศจิกายน 2541) เป็นจำนวนผู้ร้องเรียนรวมทุกกลุ่ม 3,414 แปลง
2.5 ประธานคณะอนุกรรมการกลุ่มปัญหาเรื่องเขื่อน (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) ได้ประชุมกับแกนนำและราษฎรผู้ร้องเรียนกลุ่มต่าง ๆ ทุกกลุ่ม และได้ชี้แจงตลอดจนกำหนกรอบระยะเวลาของการดำเนินงานแต่ละขั้นตอน เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนมีผลในทางปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1) ปิดรับคำร้องครั้งสุดท้ายเมื่อ 24 กรกฎาคม 2541
2) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม จะใช้เวลา 45 วัน ในการสำรวจรังวัด ขึ้นรูปแปลงที่ดินของราษฎรแต่ละกลุ่ม ทุกกลุ่มบนระวางแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศของกรมที่ดิน มาตราส่วน 1 : 4,000 ให้แล้วเสร็จทั้งหมด และนำส่งกรมที่ดินภายในวันที่ 10 กันยายน 2541 เพื่อจัดทำแผนผังแสดงการทับซ้อนของแปลงที่ดินที่ร้องเรียนร่วมกับแผนผังของกลุ่มที่ 1 (เท่าที่ได้ดำเนินการไป) ซึ่งได้รับเงินค่าชดเชยไปแล้ว
3) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม จะจัดส่งระวางแผนผังที่ผ่านการอ่าน และแปลภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบสิทธิ์ ของการทำประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีให้แก่คณะกรรมการระดับจังหวัดไปดำเนินการต่อไป โดยเริ่มต้นทยอยส่ง ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2541
4) คณะกรรมการระดับจังหวัดจะประกาศผู้มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยเพื่อให้มีการคัดค้านภายใน 30 วัน โดยจะเริ่มทยอยประกาศตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2541
5) คณะกรรมการระดับจังหวัดจะสรุปรายชื่อผู้มีสิทธิ์ชุดแรกเสนอคณะกรรมการกลางฯ หรือคณะกรรมการร่วมฯได้ประมาณกลางเดือนมกราคม 2542 เพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ความช่วยเหลือ
2.6 เนื่องจากการเรียกร้องของราษฎรกรณีฝายราษีไศลเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป และมีการเสนอข่าวไปในทางที่ไม่เป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหา ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการ กลุ่มปัญหาเรื่องเขื่อน และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้พยายามชี้แจงให้แก่สื่อมวลชน แกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมให้เข้าใจขั้นตอนของการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ร้องเรียนได้ชัดเจนถูกต้อง และเป็นธรรม ตลอดจนปัญหาความยุ่งยากในการดำเนินการ ดังนี้คือ
1) จัดแถลงข่าวชี้แจงการดำเนินงานของการตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนหลายครั้ง ทั้งที่เป็นการจัดแถลงข่าวโดยตรงและแถลงข่าวภายหลังการประชุมเจรจา
2) ออกแถลงการณ์ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการ
3) ชี้แจงข้อเท็จจริงทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2541 ในรายการกรองสถานการณ์ โดยนำแผนผังระวางที่ดินที่แสดงตำแหน่งแปลงที่ดินของราษฎรผู้ร้องเรียนทุก ๆ กลุ่ม ประกอบในการชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้วย
4) สำหรับกรณีที่มีการประชุมเจรจาระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) กับแกนนำของสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (1) เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2541 ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีราษฎรมารร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมากและได้เกิดเหตุการณืที่เผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาการกับกลุ่มผู้ชุมนุม จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย โดยมีผู้ชุมนุมหญิงคนหนึ่งอ้างว่าได้รับบาดเจ็บจนแท้งบุตรนั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับแพทย์ผู้ตรวจอาการแล้วปรากฏว่าไม่มีการตั้งครรภ์หรือมีอาการแท้งบุตร ตกเลือด ตลอดจนไม่ปรากฏร่องรอยบาดเจ็บฟกช้ำภายนอกแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนไปแล้วเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2541
3. ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 21 เมษายน 2541 มีดังนี้
3.1 การพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดิน ซึ่งมีตำแหน่งที่ดินทับซ้อนกันระหว่างราษฎรที่รับเงินค่าชดเชยไปแล้ว (กลุ่มที่ 1ยื่นผ่านสมัชชาคนจน) กับราษฎรที่ร้องเรียนในครั้งนี้ ไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ เนื่องจาก
1) ราษฎรที่ได้รับเงินไปแล้วและมีแปลงทับซ้อนแต่ไม่มาให้ข้อมูลแก่ทางราชการ
2) ราษฎรที่ได้รับเงินไปแล้วบางราย แจ้งพื้นที่ครอบครองมากเกินความจริงกว่าที่ตนเองครอบครองอยู่ โดยแจ้งล้ำเข้าไปในพื้นที่ของราษฎรกลุ่มที่ 2 เป็นจำนวนหลายรายในแปลงที่ดินเดียวกัน และทุกรายเป็นผู้ครอบครองที่ดินในบริเวณดังกล่าวบางส่วนจริงและได้รับผลกระทบจากการกักเก็บน้ำที่ระดับ 119 ม.รทก. ซึ่งจะต้องให้ราษฎรกลุ่มที่ 1 ลดพื้นที่ลงและส่งเงินค่าชดเชยที่ได้รับไปแล้วบางส่วนคืน
3.2 เนื่องจากราษฎรที่ร้องเรียนในเขตอำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ ในกลุ่มที่ 1 จำนวน 415 ราย และได้รับเงินค่าชดเชยรวม 180,720,000 บาท ไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่ยังมิได้แสดงตำแหน่งที่ดินที่ตนเองครอบครอง ซึ่งจังหวัดสุรินทร์ โดยอำเภอรัตนบุรีแจ้งให้ราษฎรกลุ่มที่ 1 เข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดนัดหมายวันที่จะลงตำแหน่งแปลงที่ดินที่ตนเองครอบครอง แต่ไม่มีผู้ใดมาแจ้ง อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาอุปสรรคดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาหาแนวทางแก้ไข โดยหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการตรวจสอบสิทธิ์ต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 15 ธันวาคม 2541--