ทำเนียบรัฐบาล--9 ก.พ.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีพิจารณการกู้เงินจากต่างประเทศ วงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมีมติอนุมัติดังนี้
1. ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยดำเนินการกู้เงินจากต่างประเทศ ในวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ให้การค้ำประกันเงินกู้ ตามนัยเงื่อนไขที่ตกลง
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในสัญญาค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงิน
3. ให้การปิโตรเเลียมแห่งประเทศไทยทำการกู้เงินบาทภายในประเทศเพื่อทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศในวงเงินจากต่างประเทศในวงเงินกู้ส่วนที่เหลือเทียบเท่ากับ 130.50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยดำเนินการกู้เงินจากตลาดการเงินต่างประเทศในรูป Syndicated Loan ซึ่งเป็นการกู้เงินจากกลุ่มสถาบันการเงินต่างประเทศ และได้มอบหมายให้กลุ่มสถาบันการเงินต่างประเทศ ประกอบด้วย BA Asia Limited, Credit Agricole Indossuez และ Tokyo Mitsubishi Inernational (Singapore) Ltd. ซึ่งเป็นผู้เสนอเงื่อนไขเงินกู้ที่ดีที่สุด เป็นผู้จัดหาเงินกู้ ในวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งตามภาวะตลาดปัจจุบัน การกู้เงินในระยะยาวจะมีต้นทุนการกู้เงินสูงกว่าภาวะปกติ และไม่เป็นที่ยอมรับของตลาดการเงินเท่าที่ควร จึงจำเป็นต้องจัดหาเงินกู้ระยะ 2 ปี ซึ่งมีต้นทุนการกู้เงินอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ คือ มีต้นทุนการกู้เงินเท่ากับอัตรา LIBOR ระยะ 6 เดือน บวกส่วนต่างในอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี เมื่อรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีต้นทุนรวมที่อัตรา LIBOR ระยะ 6 เดือน บวกด้วยส่วนต่างร้อยละ 3 ต่อปี หรือเทียบเท่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury Bond Yield หรือ T) บวกส่วนต่างในอัตราร้อยละ 3.58 ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย (Yankee Bond รุ่นที่ 2-3) ในช่วงที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยตอบรับข้อเสนอของกลุ่ม BA Asia Limited ที่อยู่ในระดับ T บวกส่วนต่างในอัตราร้อยละ 4.75 ต่อปี สำหรับวงเงินกู้ส่วนที่เหลืออีก 130.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เห็นควรให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยกู้เงินบาทในประเทศทดแทน โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542--
คณะรัฐมนตรีพิจารณการกู้เงินจากต่างประเทศ วงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมีมติอนุมัติดังนี้
1. ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยดำเนินการกู้เงินจากต่างประเทศ ในวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ให้การค้ำประกันเงินกู้ ตามนัยเงื่อนไขที่ตกลง
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในสัญญาค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกู้เงิน
3. ให้การปิโตรเเลียมแห่งประเทศไทยทำการกู้เงินบาทภายในประเทศเพื่อทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศในวงเงินจากต่างประเทศในวงเงินกู้ส่วนที่เหลือเทียบเท่ากับ 130.50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยดำเนินการกู้เงินจากตลาดการเงินต่างประเทศในรูป Syndicated Loan ซึ่งเป็นการกู้เงินจากกลุ่มสถาบันการเงินต่างประเทศ และได้มอบหมายให้กลุ่มสถาบันการเงินต่างประเทศ ประกอบด้วย BA Asia Limited, Credit Agricole Indossuez และ Tokyo Mitsubishi Inernational (Singapore) Ltd. ซึ่งเป็นผู้เสนอเงื่อนไขเงินกู้ที่ดีที่สุด เป็นผู้จัดหาเงินกู้ ในวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งตามภาวะตลาดปัจจุบัน การกู้เงินในระยะยาวจะมีต้นทุนการกู้เงินสูงกว่าภาวะปกติ และไม่เป็นที่ยอมรับของตลาดการเงินเท่าที่ควร จึงจำเป็นต้องจัดหาเงินกู้ระยะ 2 ปี ซึ่งมีต้นทุนการกู้เงินอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ คือ มีต้นทุนการกู้เงินเท่ากับอัตรา LIBOR ระยะ 6 เดือน บวกส่วนต่างในอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี เมื่อรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีต้นทุนรวมที่อัตรา LIBOR ระยะ 6 เดือน บวกด้วยส่วนต่างร้อยละ 3 ต่อปี หรือเทียบเท่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury Bond Yield หรือ T) บวกส่วนต่างในอัตราร้อยละ 3.58 ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย (Yankee Bond รุ่นที่ 2-3) ในช่วงที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยตอบรับข้อเสนอของกลุ่ม BA Asia Limited ที่อยู่ในระดับ T บวกส่วนต่างในอัตราร้อยละ 4.75 ต่อปี สำหรับวงเงินกู้ส่วนที่เหลืออีก 130.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เห็นควรให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยกู้เงินบาทในประเทศทดแทน โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542--