ทำเนียบรัฐบาล--24 มี.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ตามที่ได้รับรายงานจาก ขสมก. ว่า
1. ขสมก. ได้จ้างเหมาบริษัทเอกชนรวม 7 บริษัท ประกอบด้วย บริษัทออโต้เทคนิค (ประเทศไทย) จำกัดบริษัท ไทยฮีโน่มอเตอร์เซลล์ จำกัด บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด บริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ประเทศไทย จำกัดบริษัท เอ็ม เอ็ม ซี สิทธิผล จำกัด บริษัท มอเตอร์แอนด์ลีเซ้ง (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท โนวาเท็ค จำกัด ดำเนินการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารของ ขสมก. ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 4,265 คัน (รถโดยสารธรรมดา 3,071 คัน และรถโดยสารปรับอากาศ 1,194 คัน) และบริษัทฯ ทั้ง 7 บริษัท ได้มีหนังสือแจ้งให้ ขสมก. พิจารณาดำเนินการชำระหนี้ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ดังกล่าวที่ ขสมก. เป็นหนี้อยู่พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2540 จำนวน 1,219.999 ล้านบาท โดยเร่งด่วน เพราะบริษัทฯ ไม่สามารถที่จะจัดหาเงินทุนมาดำเนินการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารได้ต่อไปตามสัญญาที่ทำไว้กับ ขสมก. เนื่องจากธนาคารฯ และบริษัทเงินทุนฯ ระงับและชะลอการให้สินเชื่อแก่บริษัทฯ ที่จะกู้เงินมาใช้ในการดำเนินการซ่อมแซมดังกล่าว รวมทั้ง บริษัทฯ ได้แบกรับภาระในการกู้เงินและจัดหาเงินทุนมานานถึงจุดที่ไม่สามารถจะแบกรับภาระต่อไปได้ อันอาจทำให้การซ่อมแซมทำได้ไม่เต็มที่ หรือถึงขั้นจะต้องหยุดการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารของขสมก. เกือบทั้งหมดซึ่งจะมีผลเสียหายต่อการเดินรถของ ขสมก. และเป็นผลให้ประชาชนผู้ใช้บริการประสบความเดือดร้อนในที่สุด
2. ในทางปฏิบัติ ขสมก. มีความสามารถในการชำระหนี้ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสาร ซึ่งมียอดค่าใช้จ่ายเดือนละประมาณ 115.789 ล้านบาท ได้เพียงเดือนละประมาณ 30 - 45 ล้านบาท เท่านั้น เงินค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารที่ค้างชำระแต่ละเดือนจึงเป็นหนี้สะสมตลอดมา ขสมก. จึงขอชะลอการนำเงินฝากธนาคารที่จะต้องนำฝากเพื่อการไถ่ถอนพันธบัตรทุกเดือน ๆ ละ ประมาณ 52.653 ล้านบาท ไว้ก่อน เพื่อนำไปจ่ายเป็นค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารในแต่ละเดือนให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางด้านการเงินและหนี้สินที่มีอยู่ไปได้ในระดับหนึ่ง
คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า
1. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีผลการประกอบการขาดทุนมาโดยตลอด มีหนี้สินค้างชำระทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์โดยสารต่อเนื่องกันมาหลายปี สาเหตุอาจเนื่องมาจาก ขสมก. ไม่สามารถขึ้นราคาค่าบริการขนส่งให้คุ้มกับการลงทุนได้ จึงต้องประสบภาวะขาดทุนและมีหนี้สินมาโดยตลอดดังนั้น ขสมก. จึงควรมีแผนการปรับลดขนาดและบทบาทขององค์การฯ ให้เล็กลง แผนการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการ ทั้งแผนระยะสั้นและแผนระยะยาว
2. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2539 ให้โอนกิจการของ ขสมก. ให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) รับไปดำเนินการ ซึ่ง กทม. ได้รับไปพิจารณาและมีเงื่อนไขหลายประการซึ่งรัฐอาจไม่สามารถรับเงื่อนไขของ กทม. ได้จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมรับไปทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ และนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
3. การแก้ไขปัญหาการชำระหนี้ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสาร โดยการนำเงินฝากเพื่อไถ่ถอนพันธบัตร (SINKING FUND) ไปชำระหนี้นั้น อาจไม่เหมาะสมเพราะเป็นการผิดเงื่อนไขการออกพันธบัตร และถ้าจะให้กู้จากธนาคารออมสินก็คงไม่เหมาะสม เพราะหลักการของธนาคารออมสินคือการให้กู้ไปพัฒนาท้องถิ่น ถ้าจะให้กู้จากธนาคารกรุงไทยจะเหมาะสมกว่า แต่วงเงินที่จะขอกู้ถึง 1,665.259 ล้านบาท นั้น อาจมากกว่าความจำเป็น ควรจะพิจารณาวงเงินกู้ให้เหมาะสมคณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการให้ ขสมก. กู้เงินเพื่อชำระหนี้ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสาร ขสมก. และดอกเบี้ยถึง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2541 โดยให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคมร่วมกันพิจารณาว่าจะสมควรกู้จากธนาคารออมสินหรือธนาคารกรุงไทย จำกัด รวมทั้งจะเห็นสมควรกู้ในวงเงินเท่าใด แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงคมนาคม (ขสมก.) จัดทำแผนระยะสั้นและแผนระยะยาว เพื่อปรับลดขนาดและบทบาทของ ขสมก. ให้เล็กลง ตลอดจนเพื่อเพิ่มบทบาทของเอกชนในการให้มีส่วนร่วมในการบริการขนส่งให้มากขึ้น ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2539 ก็ให้ดำเนินการต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 มีนาคม 2541--
คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ตามที่ได้รับรายงานจาก ขสมก. ว่า
1. ขสมก. ได้จ้างเหมาบริษัทเอกชนรวม 7 บริษัท ประกอบด้วย บริษัทออโต้เทคนิค (ประเทศไทย) จำกัดบริษัท ไทยฮีโน่มอเตอร์เซลล์ จำกัด บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด บริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ประเทศไทย จำกัดบริษัท เอ็ม เอ็ม ซี สิทธิผล จำกัด บริษัท มอเตอร์แอนด์ลีเซ้ง (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท โนวาเท็ค จำกัด ดำเนินการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารของ ขสมก. ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 4,265 คัน (รถโดยสารธรรมดา 3,071 คัน และรถโดยสารปรับอากาศ 1,194 คัน) และบริษัทฯ ทั้ง 7 บริษัท ได้มีหนังสือแจ้งให้ ขสมก. พิจารณาดำเนินการชำระหนี้ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ดังกล่าวที่ ขสมก. เป็นหนี้อยู่พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2540 จำนวน 1,219.999 ล้านบาท โดยเร่งด่วน เพราะบริษัทฯ ไม่สามารถที่จะจัดหาเงินทุนมาดำเนินการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารได้ต่อไปตามสัญญาที่ทำไว้กับ ขสมก. เนื่องจากธนาคารฯ และบริษัทเงินทุนฯ ระงับและชะลอการให้สินเชื่อแก่บริษัทฯ ที่จะกู้เงินมาใช้ในการดำเนินการซ่อมแซมดังกล่าว รวมทั้ง บริษัทฯ ได้แบกรับภาระในการกู้เงินและจัดหาเงินทุนมานานถึงจุดที่ไม่สามารถจะแบกรับภาระต่อไปได้ อันอาจทำให้การซ่อมแซมทำได้ไม่เต็มที่ หรือถึงขั้นจะต้องหยุดการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารของขสมก. เกือบทั้งหมดซึ่งจะมีผลเสียหายต่อการเดินรถของ ขสมก. และเป็นผลให้ประชาชนผู้ใช้บริการประสบความเดือดร้อนในที่สุด
2. ในทางปฏิบัติ ขสมก. มีความสามารถในการชำระหนี้ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสาร ซึ่งมียอดค่าใช้จ่ายเดือนละประมาณ 115.789 ล้านบาท ได้เพียงเดือนละประมาณ 30 - 45 ล้านบาท เท่านั้น เงินค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารที่ค้างชำระแต่ละเดือนจึงเป็นหนี้สะสมตลอดมา ขสมก. จึงขอชะลอการนำเงินฝากธนาคารที่จะต้องนำฝากเพื่อการไถ่ถอนพันธบัตรทุกเดือน ๆ ละ ประมาณ 52.653 ล้านบาท ไว้ก่อน เพื่อนำไปจ่ายเป็นค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสารในแต่ละเดือนให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางด้านการเงินและหนี้สินที่มีอยู่ไปได้ในระดับหนึ่ง
คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า
1. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีผลการประกอบการขาดทุนมาโดยตลอด มีหนี้สินค้างชำระทั้งค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์โดยสารต่อเนื่องกันมาหลายปี สาเหตุอาจเนื่องมาจาก ขสมก. ไม่สามารถขึ้นราคาค่าบริการขนส่งให้คุ้มกับการลงทุนได้ จึงต้องประสบภาวะขาดทุนและมีหนี้สินมาโดยตลอดดังนั้น ขสมก. จึงควรมีแผนการปรับลดขนาดและบทบาทขององค์การฯ ให้เล็กลง แผนการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการ ทั้งแผนระยะสั้นและแผนระยะยาว
2. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2539 ให้โอนกิจการของ ขสมก. ให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) รับไปดำเนินการ ซึ่ง กทม. ได้รับไปพิจารณาและมีเงื่อนไขหลายประการซึ่งรัฐอาจไม่สามารถรับเงื่อนไขของ กทม. ได้จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมรับไปทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ และนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
3. การแก้ไขปัญหาการชำระหนี้ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสาร โดยการนำเงินฝากเพื่อไถ่ถอนพันธบัตร (SINKING FUND) ไปชำระหนี้นั้น อาจไม่เหมาะสมเพราะเป็นการผิดเงื่อนไขการออกพันธบัตร และถ้าจะให้กู้จากธนาคารออมสินก็คงไม่เหมาะสม เพราะหลักการของธนาคารออมสินคือการให้กู้ไปพัฒนาท้องถิ่น ถ้าจะให้กู้จากธนาคารกรุงไทยจะเหมาะสมกว่า แต่วงเงินที่จะขอกู้ถึง 1,665.259 ล้านบาท นั้น อาจมากกว่าความจำเป็น ควรจะพิจารณาวงเงินกู้ให้เหมาะสมคณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการให้ ขสมก. กู้เงินเพื่อชำระหนี้ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์โดยสาร ขสมก. และดอกเบี้ยถึง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2541 โดยให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคมร่วมกันพิจารณาว่าจะสมควรกู้จากธนาคารออมสินหรือธนาคารกรุงไทย จำกัด รวมทั้งจะเห็นสมควรกู้ในวงเงินเท่าใด แล้วดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงคมนาคม (ขสมก.) จัดทำแผนระยะสั้นและแผนระยะยาว เพื่อปรับลดขนาดและบทบาทของ ขสมก. ให้เล็กลง ตลอดจนเพื่อเพิ่มบทบาทของเอกชนในการให้มีส่วนร่วมในการบริการขนส่งให้มากขึ้น ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2539 ก็ให้ดำเนินการต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 มีนาคม 2541--