ทำเนียบรัฐบาล--11 ก.พ.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติ พ.ศ...... ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยมีเหตุผลในการออกพระราชบัญญัติตามความในมาตรา 211 ปัณรส วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2539 บัญญัติให้ดำเนินการจัดให้มีประชามติเพื่อให้ประชาชนออกเสียงลงคะแนนว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญที่สภาร่างรัฐธรรมนูญเสนอในกรณีที่คะแนนเสียงให้ความเห็นชอบไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา และมาตรา 211 โสฬส วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญดังกล่าว บัญญัติให้หลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น จึงสมควรกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติ
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมี ดังนี้
1. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามร่างพระราชบัญญัตินี้
2. ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีเอกสารชี้แจงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญที่จะต้องจัดให้มีประชามติและกำหนดประเด็นที่จะต้องออกเสียงประชามติเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ
3. ให้นายอำเภอแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการออกเสียงประชามติคณะหนึ่ง และแต่งตั้งเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการออกเสียงประชามติ และเจ้าหน้าที่คะแนน ประจำทุกที่ออกเสียง
4. การออกเสียงประชามติอาจออกเสียง ณ ที่ออกเสียงอื่น อันมิใช่ที่ออกเสียงที่ผู้มีสิทธิออกเสียงมีชื่ออยู่ในบัญชีก็ได้ โดยแจ้งให้นายอำเภอทราบ พร้อมทั้งระบบที่ออกเสียงที่ตนประสงค์จะไปใช้สิทธิให้นายอำเภอทราบด้วย
5. เจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่คะแนนซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ในการดำเนินการออกเสียงประชามติ หรือเกี่ยวข้องกับการออกเสียงประชามติ มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติในที่ออกเสียงที่ตนประจำปฏิบัติหน้าที่นั้น โดยไม่ต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง
6. ผู้มีสิทธิออกเสียงอาจเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนยื่นคัดค้านผลการออกเสียงประชามติได้ แต่ต้องแสดงหลักฐานการออกเสียงประชามติมิได้เป็นไปตามที่กระทรวงมหาดไทยประกาศ
7. กรรมการพิจารณาคำคัดค้านประกอบด้วย ประธานรัฐสภา เป็นประธาน ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฏีกา อัยการสูงสุด และผู้ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งอีก 3 คนเป็นกรรมการ และให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นเลขานุการ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2540--
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติ พ.ศ...... ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยมีเหตุผลในการออกพระราชบัญญัติตามความในมาตรา 211 ปัณรส วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2539 บัญญัติให้ดำเนินการจัดให้มีประชามติเพื่อให้ประชาชนออกเสียงลงคะแนนว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญที่สภาร่างรัฐธรรมนูญเสนอในกรณีที่คะแนนเสียงให้ความเห็นชอบไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา และมาตรา 211 โสฬส วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญดังกล่าว บัญญัติให้หลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น จึงสมควรกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติ
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมี ดังนี้
1. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามร่างพระราชบัญญัตินี้
2. ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีเอกสารชี้แจงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญที่จะต้องจัดให้มีประชามติและกำหนดประเด็นที่จะต้องออกเสียงประชามติเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ
3. ให้นายอำเภอแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการออกเสียงประชามติคณะหนึ่ง และแต่งตั้งเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการออกเสียงประชามติ และเจ้าหน้าที่คะแนน ประจำทุกที่ออกเสียง
4. การออกเสียงประชามติอาจออกเสียง ณ ที่ออกเสียงอื่น อันมิใช่ที่ออกเสียงที่ผู้มีสิทธิออกเสียงมีชื่ออยู่ในบัญชีก็ได้ โดยแจ้งให้นายอำเภอทราบ พร้อมทั้งระบบที่ออกเสียงที่ตนประสงค์จะไปใช้สิทธิให้นายอำเภอทราบด้วย
5. เจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่คะแนนซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ในการดำเนินการออกเสียงประชามติ หรือเกี่ยวข้องกับการออกเสียงประชามติ มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติในที่ออกเสียงที่ตนประจำปฏิบัติหน้าที่นั้น โดยไม่ต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง
6. ผู้มีสิทธิออกเสียงอาจเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคนยื่นคัดค้านผลการออกเสียงประชามติได้ แต่ต้องแสดงหลักฐานการออกเสียงประชามติมิได้เป็นไปตามที่กระทรวงมหาดไทยประกาศ
7. กรรมการพิจารณาคำคัดค้านประกอบด้วย ประธานรัฐสภา เป็นประธาน ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฏีกา อัยการสูงสุด และผู้ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งอีก 3 คนเป็นกรรมการ และให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นเลขานุการ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2540--