ทำเนียบรัฐบาล--1 ก.พ.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวญี่ปุ่นต่อเศรษฐกิจไทยตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. การค้าระหว่างประเทศ ดุลการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่น น่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเนื่องจากญี่ปุ่นจะมีความต้องการสินค้าออกของไทยมากขึ้น ในปี 2537 ไทยส่งสินค้าไปญี่ปุ่นมีมูลค่าเท่ากับ197,800 ล้านบาท และนำเข้าจากญี่ปุ่นมีมูลค่าเท่ากับ 409,800 ล้านบาท ทำให้ไทยเป็นฝ่ายเสียดุลการค้าถึง212,000 ล้านบาท สินค้า-ออกหลักของไทยที่ส่งไปญี่ปุ่นประกอบด้วยสินค้าประเภทอาหาร วัตถุดิบ และชิ้นส่วนประกอบสำหรับการทำสินค้าสำเร็จรูป สินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลทางบวก ได้แก่ กุ้งสดแช่เย็น-แข็ง ข้าว ไก่สดแช่เย็น-แข็ง เฟอร์นิเจอร์ไม้และชิ้นส่วน ปลาหมึกสดแช่เย็น เนื้อปลาสดแช่เย็น อาหารสัตว์ เครื่องปรับอากาศ สินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ญี่ปุ่นมีความต้องการนำเข้าจากต่างประเทศอยู่แล้ว การเกิดแผ่นดินไหว เพลิงไหม้ ทำให้สินค้าประเภทอาหารและสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรง-ชีพมีความต้องการอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกันสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง การซ่อมแซม และเครื่องใช้ครัวเรือน เฟอร์นิ-เจอร์ จะมีความต้องการในระยะต่อมาเพื่อการบูรณะประเทศและทดแทนส่วนที่เสียหาย ส่วนสินค้าที่ได้ผลกระทบด้าน-ลบได้แก่สินค้าประเภทฟุ่มเฟือย เช่น อัญมณี และเครื่องประดับ สินค้าอีกประเภทก็คือยางพารา ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่น ซึ่งต้องลดการผลิตรถยนต์ลง ทำให้สินค้าทั้งสองมีการนำเข้าจากไทยลดลงส่วนสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นที่ไทยจะได้รับผลกระทบ เป็นสินค้าจำพวกสินค้าทุนและวัตถุดิบที่นำมาใช้เพื่อการผลิตต่อ เนื่องจากฐานการผลิตอยู่ในโอซากาและโกเบได้รับความเสียหายทำให้เกิดการขาดแคลนสินค้าส่งผลทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้นในอนาคต สินค้าเหล่านี้ได้แก่ เครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ เหล็กและเหล็กกล้า เยื่อกระดาษ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
2. การลงทุน ประเทศไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักเนื่องจากการลงทุนของญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นการลงทุนระยะยาวในอุตสาหกรรมที่มีอนาคตและมีพื้นฐานที่ดี เนื่องจากรัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมผลจากความเสียหายของอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มที่จะย้ายฐานการผลิตอยู่แล้ว อาจจะส่งผลดีต่อการลงทุนในไทยทำให้มีการย้ายฐานการผลิตเร็วขึ้น ขณะนี้ญี่ปุ่นลงทุนโดยตรงในประเทศไทยประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
3. การเงิน ญี่ปุ่นเป็นแหล่งสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรนที่สำคัญที่สุดของไทย ปัจจุบันรัฐบาลไทยได้รับเงินกู้จาก OECF สำหรับปีงบประมาณ 2538 รัฐบาลไทยได้ขอกู้เงินจำนวนเท่ากับ 1,051.94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.0 และความต้องการเงินทุนจำนวนมากเพื่อบูรณะเศรษฐกิจญี่ปุ่น อาจทำให้ระดับอัตราดอกเบี้ย โดยทั่วไปสูงขึ้น นอกจากนี้ การที่ญี่ปุ่นจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการบูรณะเมืองโกเบและพื้นที่ข้างเคียง ทำให้เป็นปัจจัยสำคัญที่อุดหนุนเงินเยนให้มีค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ประกอบกับประเด็นการให้เงินช่วยเหลือแม็กซิโกที่ยังหาข้อยุติไม่ได้น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินดอลลาร์มีค่าลดลง ดังนั้น ผลของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินดอลลาร์และเยนนี้ จะทำให้ภาระหนี้สินต่างประเทศของไทยในรูปเงินเยนมีค่าสูงขึ้น
4. ตลาดหลักทรัพย์ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นไม่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ เนื่องจากว่าปริมาณการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยของนักลงทุนญี่ปุ่นมีสัดส่วนน้อย เมื่อเทียบกับมูลค่าลงทุนทั้ง-หมดของนักลงทุนต่างชาติ
5. การท่องเที่ยว คาดว่าจะเป็นด้านที่ได้รับผลกระทบพอสมควร เนื่องจากประชาชนได้รับผลกระทบทางจิตใจ และต้องการจับจ่ายใช้สอยในสินค้าเพื่อการดำรงชีพและการบูรณะทรัพย์สินที่เสียหายโดยสรุปแล้วผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นน่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยมากกว่าผลเสีย โดยจะช่วยทางด้านการส่งออกให้ขยายตัวได้สูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหาร สินค้าเพื่อการดำรงชีวิต และสินค้าเพื่อการบูรณะประเทศ เหตุการณ์ที่ส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่มีผลกระทบรุนแรงและเป็นผลทางจิตวิทยาระยะสั้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แผ่นดินไหวนี้จะส่งผลกระทบต่อภาคการเงินพอสมควร โดยจะผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินเยนสูงขึ้นในระยะยาว ซึ่งจะทำให้ภาระหนี้ต่างประเทศ ในรูปของเงินเยนของไทยมีค่าสูงขึ้น นอกจากนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะลดลงพอสมควร เนื่องจากสัดส่วนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดมีค่าสูงถึงประมาณร้อยละ 10
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--31 มกราคม 2538--
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวญี่ปุ่นต่อเศรษฐกิจไทยตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. การค้าระหว่างประเทศ ดุลการค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่น น่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเนื่องจากญี่ปุ่นจะมีความต้องการสินค้าออกของไทยมากขึ้น ในปี 2537 ไทยส่งสินค้าไปญี่ปุ่นมีมูลค่าเท่ากับ197,800 ล้านบาท และนำเข้าจากญี่ปุ่นมีมูลค่าเท่ากับ 409,800 ล้านบาท ทำให้ไทยเป็นฝ่ายเสียดุลการค้าถึง212,000 ล้านบาท สินค้า-ออกหลักของไทยที่ส่งไปญี่ปุ่นประกอบด้วยสินค้าประเภทอาหาร วัตถุดิบ และชิ้นส่วนประกอบสำหรับการทำสินค้าสำเร็จรูป สินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลทางบวก ได้แก่ กุ้งสดแช่เย็น-แข็ง ข้าว ไก่สดแช่เย็น-แข็ง เฟอร์นิเจอร์ไม้และชิ้นส่วน ปลาหมึกสดแช่เย็น เนื้อปลาสดแช่เย็น อาหารสัตว์ เครื่องปรับอากาศ สินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ญี่ปุ่นมีความต้องการนำเข้าจากต่างประเทศอยู่แล้ว การเกิดแผ่นดินไหว เพลิงไหม้ ทำให้สินค้าประเภทอาหารและสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรง-ชีพมีความต้องการอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกันสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง การซ่อมแซม และเครื่องใช้ครัวเรือน เฟอร์นิ-เจอร์ จะมีความต้องการในระยะต่อมาเพื่อการบูรณะประเทศและทดแทนส่วนที่เสียหาย ส่วนสินค้าที่ได้ผลกระทบด้าน-ลบได้แก่สินค้าประเภทฟุ่มเฟือย เช่น อัญมณี และเครื่องประดับ สินค้าอีกประเภทก็คือยางพารา ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่น ซึ่งต้องลดการผลิตรถยนต์ลง ทำให้สินค้าทั้งสองมีการนำเข้าจากไทยลดลงส่วนสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นที่ไทยจะได้รับผลกระทบ เป็นสินค้าจำพวกสินค้าทุนและวัตถุดิบที่นำมาใช้เพื่อการผลิตต่อ เนื่องจากฐานการผลิตอยู่ในโอซากาและโกเบได้รับความเสียหายทำให้เกิดการขาดแคลนสินค้าส่งผลทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้นในอนาคต สินค้าเหล่านี้ได้แก่ เครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ เหล็กและเหล็กกล้า เยื่อกระดาษ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
2. การลงทุน ประเทศไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักเนื่องจากการลงทุนของญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นการลงทุนระยะยาวในอุตสาหกรรมที่มีอนาคตและมีพื้นฐานที่ดี เนื่องจากรัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมผลจากความเสียหายของอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มที่จะย้ายฐานการผลิตอยู่แล้ว อาจจะส่งผลดีต่อการลงทุนในไทยทำให้มีการย้ายฐานการผลิตเร็วขึ้น ขณะนี้ญี่ปุ่นลงทุนโดยตรงในประเทศไทยประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
3. การเงิน ญี่ปุ่นเป็นแหล่งสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรนที่สำคัญที่สุดของไทย ปัจจุบันรัฐบาลไทยได้รับเงินกู้จาก OECF สำหรับปีงบประมาณ 2538 รัฐบาลไทยได้ขอกู้เงินจำนวนเท่ากับ 1,051.94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.0 และความต้องการเงินทุนจำนวนมากเพื่อบูรณะเศรษฐกิจญี่ปุ่น อาจทำให้ระดับอัตราดอกเบี้ย โดยทั่วไปสูงขึ้น นอกจากนี้ การที่ญี่ปุ่นจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการบูรณะเมืองโกเบและพื้นที่ข้างเคียง ทำให้เป็นปัจจัยสำคัญที่อุดหนุนเงินเยนให้มีค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ประกอบกับประเด็นการให้เงินช่วยเหลือแม็กซิโกที่ยังหาข้อยุติไม่ได้น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินดอลลาร์มีค่าลดลง ดังนั้น ผลของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินดอลลาร์และเยนนี้ จะทำให้ภาระหนี้สินต่างประเทศของไทยในรูปเงินเยนมีค่าสูงขึ้น
4. ตลาดหลักทรัพย์ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นไม่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ เนื่องจากว่าปริมาณการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยของนักลงทุนญี่ปุ่นมีสัดส่วนน้อย เมื่อเทียบกับมูลค่าลงทุนทั้ง-หมดของนักลงทุนต่างชาติ
5. การท่องเที่ยว คาดว่าจะเป็นด้านที่ได้รับผลกระทบพอสมควร เนื่องจากประชาชนได้รับผลกระทบทางจิตใจ และต้องการจับจ่ายใช้สอยในสินค้าเพื่อการดำรงชีพและการบูรณะทรัพย์สินที่เสียหายโดยสรุปแล้วผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นน่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยมากกว่าผลเสีย โดยจะช่วยทางด้านการส่งออกให้ขยายตัวได้สูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหาร สินค้าเพื่อการดำรงชีวิต และสินค้าเพื่อการบูรณะประเทศ เหตุการณ์ที่ส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่มีผลกระทบรุนแรงและเป็นผลทางจิตวิทยาระยะสั้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แผ่นดินไหวนี้จะส่งผลกระทบต่อภาคการเงินพอสมควร โดยจะผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินเยนสูงขึ้นในระยะยาว ซึ่งจะทำให้ภาระหนี้ต่างประเทศ ในรูปของเงินเยนของไทยมีค่าสูงขึ้น นอกจากนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นน่าจะลดลงพอสมควร เนื่องจากสัดส่วนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดมีค่าสูงถึงประมาณร้อยละ 10
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--31 มกราคม 2538--