ทำเนียบรัฐบาล--8 มิ.ย.--บิสนิวส์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 อนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ มอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งรัดพิจารณาจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) ให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท และ 3,000 ล้านบาท ในปี 2541 และปี 2542 ตามลำดับ เพื่อจะได้สามารถนำไปปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในภูมิภาค โดยให้พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญในการปล่อยกู้แทนการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน นั้น
กระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมของบรรษัทฯ ดังต่อไปนี้
1. ผลการอนุมัติสินเชื่อ
1.1 ปี 2540 ได้อนุมัติสินเชื่อจำนวน 136 ราย วงเงิน 719.3 ล้านบาท แยกเป็นผู้กู้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล28 ราย (20.59%) ในภูมิภาค 108 ราย (79.41%) หรือแยกเป็นวงเงินที่อนุมัติในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 165.90 ล้านบาท (23.06%)ในภูมิภาค 555.34 ล้านบาท (76.94%)
1.2 ตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติสินเชื่อจำนวน 86 ราย วงเงิน 566.85 ล้านบาท แยกเป็นผู้กู้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 26 ราย (30.23%) ในภูมิภาค 60 ราย (69.77%) หรือแยกเป็นวงเงินที่อนุมัติในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 158.30 ล้านบาท (27.93%) ในภูมิภาค 408.55 ล้านบาท (72.07%)
1.3 ตั้งแต่ปี 2536 (เปิดดำเนินการ) - เดือนพฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติสินเชื่อรวม 789 ราย วงเงิน 2,817.704ล้านบาท แยกเป็นผู้กู้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 112 ราย (14.19%) ในภูมิภาค 677 ราย (85.8%) หรือแยกเป็นวงเงินที่อนุมัติในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 544.64 ล้านบาท (19.33%) ในภูมิภาค 2,273.054 ล้านบาท (80.67%)
1.4 สินเชื่อที่กระจายไปสู่ภูมิภาค อนุมัติไปในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ตามลำดับ
2. ลักษณะการดำเนินงาน
2.1 บรรษัทฯ เป็นสถาบันการเงินเชิงนโยบายที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และรวมทั้งอุตสาหกรรมในชนบทให้ได้มีโอกาสจัดตั้งกิจการหรือขยายกิจการได้อย่างมั่นคง และโดยธรรมชาติอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังไม่ก้าวหน้า และด้อยโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินอื่น โดยเฉพาะจากธนาคารพาณิชย์
2.2 เนื่องจากสาเหตุตามข้อ 2.1 และประกอบกับปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบรรษัทฯ จึงทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performing Loan, NPL) ของบรรษัทฯ (ใช้เกณฑ์หยุดรับรู้รายได้ใน 6 เดือน) อยู่ในระดับ 36.52% (ณ เดือนเมษายน 2541) ในเรื่องนี้บรรษัทฯ กำลังเร่งดำเนินการในการประนอมหนี้ และรวมทั้งการให้คำปรึกษาแนะนำในการแก้ปัญหาการดำเนินกิจการ โดยจะได้ประสานความช่วยเหลือทางเทคนิควิชาการจากกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ) อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง บรรษัทฯ มีโอกาสเลือกลูกค้าระดับดีมากขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินอื่นเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ลูกค้าดังกล่าวจึงหันมายื่นขอกู้จากบรรษัทฯ เพิ่มขึ้น จึงทำให้วงเงินที่ให้กู้ใหม่นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีปัญหาการหยุดรับรู้รายได้
2.3 บรรษัทฯ ได้ดำเนินการให้สินเชื่อเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมในภูมิภาคและชนบทอย่างได้ผล ทั้ง ๆ ที่บรรษัทฯ มีสาขาในภูมิภาคเพียง 1 แห่ง คือจังหวัดขอนแก่น (กำลังจะเปิดเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ และสงขลา) โดยสินเชื่อที่อนุมัติไปแล้วประมาณ 80% กระจายไปสู่ส่วนภูมิภาค และการที่บรรษัทฯ สามารถดำเนินการได้ผลดี เพราะได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในภูมิภาคของกระทรวงอุตสาหกรรม (ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ) เป็นเครือข่ายประสานงาน และรวมทั้งการใช้นโยบายเชิงรุกจัดหน่วยเฉพาะกิจออกไปจัดประชุมสัมมนาเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำการยื่นขอสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการตามจังหวัดต่าง ๆ
3. ข้อคิดเห็น
3.1 อุตสาหกรรมขนาดย่อม และอุตสาหกรรมขนาดกลาง มีจำนวนโรงงานประมาณ 88 และ 8% ของจำนวนโรงงานทั้งหมด ตามลำดับ นับเป็นกลุ่มใหญ่ที่ประสบความเดือดร้อนจากปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ และมีความต้องการสภาพคล่องเพื่อนำไปใช้ในกิจการหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับกิจการ ดังนั้น การพิจารณาจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) ให้แก่บรรษัทฯ เพิ่มขึ้นจะมีส่วนช่วยอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของประเทศ
3.2 การลงทุนประกอบกิจการอุตสาหกรรม ต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ การจัดระบบบริหารการผลิตและการจำหน่าย ระยะเวลาคืนทุนจึงช้ากว่าการประกอบธุรกิจประเภทอื่น ๆ และโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งอุตสาหกรรมชนบท ซึ่งมีจุดอ่อนทางเทคนิควิชาการทั้งด้านการผลิตและการจัดการจำเป็นต้องให้ระยะเวลาในการก่อตั้งและตั้งตัว โดยลักษณะธรรมชาติเช่นนี้ธนาคารพาณิชย์จึงไม่ค่อยให้ความสนใจที่จะสนับสนุนสินเชื่อแก่กลุ่มดังกล่าว จนเป็นภาระหน้าที่ของบรรษัทฯ ที่ต้องเข้าไปรองรับ โดยดำเนินการให้สินเชื่อที่มีเงื่อนไขผ่อนปรนในเรื่องอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาให้กู้
3.3 ด้วยเหตุที่บรรษัทฯ เป็นสถาบันการเงินที่มีภารกิจสนองนโยบายของรัฐบาลมีกลุ่มลูกค้าจำกัด และไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้หลากหลาย ดังเช่น ธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น การจัดมาตรฐานหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบรรษัทฯ จึงไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกับธนาคารพาณิชย์ เพราะการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งเสริมอุตสาหกรรมชนบทให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืนจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
นอกจากนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจให้ความเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบรรษัทฯ โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมร่วมกันพิจารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 8 มิถุนายน 2541--
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 อนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ มอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งรัดพิจารณาจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) ให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท และ 3,000 ล้านบาท ในปี 2541 และปี 2542 ตามลำดับ เพื่อจะได้สามารถนำไปปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในภูมิภาค โดยให้พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญในการปล่อยกู้แทนการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน นั้น
กระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมของบรรษัทฯ ดังต่อไปนี้
1. ผลการอนุมัติสินเชื่อ
1.1 ปี 2540 ได้อนุมัติสินเชื่อจำนวน 136 ราย วงเงิน 719.3 ล้านบาท แยกเป็นผู้กู้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล28 ราย (20.59%) ในภูมิภาค 108 ราย (79.41%) หรือแยกเป็นวงเงินที่อนุมัติในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 165.90 ล้านบาท (23.06%)ในภูมิภาค 555.34 ล้านบาท (76.94%)
1.2 ตั้งแต่เดือนมกราคม - พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติสินเชื่อจำนวน 86 ราย วงเงิน 566.85 ล้านบาท แยกเป็นผู้กู้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 26 ราย (30.23%) ในภูมิภาค 60 ราย (69.77%) หรือแยกเป็นวงเงินที่อนุมัติในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 158.30 ล้านบาท (27.93%) ในภูมิภาค 408.55 ล้านบาท (72.07%)
1.3 ตั้งแต่ปี 2536 (เปิดดำเนินการ) - เดือนพฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติสินเชื่อรวม 789 ราย วงเงิน 2,817.704ล้านบาท แยกเป็นผู้กู้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 112 ราย (14.19%) ในภูมิภาค 677 ราย (85.8%) หรือแยกเป็นวงเงินที่อนุมัติในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 544.64 ล้านบาท (19.33%) ในภูมิภาค 2,273.054 ล้านบาท (80.67%)
1.4 สินเชื่อที่กระจายไปสู่ภูมิภาค อนุมัติไปในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ตามลำดับ
2. ลักษณะการดำเนินงาน
2.1 บรรษัทฯ เป็นสถาบันการเงินเชิงนโยบายที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และรวมทั้งอุตสาหกรรมในชนบทให้ได้มีโอกาสจัดตั้งกิจการหรือขยายกิจการได้อย่างมั่นคง และโดยธรรมชาติอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังไม่ก้าวหน้า และด้อยโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินอื่น โดยเฉพาะจากธนาคารพาณิชย์
2.2 เนื่องจากสาเหตุตามข้อ 2.1 และประกอบกับปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบรรษัทฯ จึงทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performing Loan, NPL) ของบรรษัทฯ (ใช้เกณฑ์หยุดรับรู้รายได้ใน 6 เดือน) อยู่ในระดับ 36.52% (ณ เดือนเมษายน 2541) ในเรื่องนี้บรรษัทฯ กำลังเร่งดำเนินการในการประนอมหนี้ และรวมทั้งการให้คำปรึกษาแนะนำในการแก้ปัญหาการดำเนินกิจการ โดยจะได้ประสานความช่วยเหลือทางเทคนิควิชาการจากกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ) อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง บรรษัทฯ มีโอกาสเลือกลูกค้าระดับดีมากขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินอื่นเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ลูกค้าดังกล่าวจึงหันมายื่นขอกู้จากบรรษัทฯ เพิ่มขึ้น จึงทำให้วงเงินที่ให้กู้ใหม่นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีปัญหาการหยุดรับรู้รายได้
2.3 บรรษัทฯ ได้ดำเนินการให้สินเชื่อเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมในภูมิภาคและชนบทอย่างได้ผล ทั้ง ๆ ที่บรรษัทฯ มีสาขาในภูมิภาคเพียง 1 แห่ง คือจังหวัดขอนแก่น (กำลังจะเปิดเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ และสงขลา) โดยสินเชื่อที่อนุมัติไปแล้วประมาณ 80% กระจายไปสู่ส่วนภูมิภาค และการที่บรรษัทฯ สามารถดำเนินการได้ผลดี เพราะได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในภูมิภาคของกระทรวงอุตสาหกรรม (ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ) เป็นเครือข่ายประสานงาน และรวมทั้งการใช้นโยบายเชิงรุกจัดหน่วยเฉพาะกิจออกไปจัดประชุมสัมมนาเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำการยื่นขอสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการตามจังหวัดต่าง ๆ
3. ข้อคิดเห็น
3.1 อุตสาหกรรมขนาดย่อม และอุตสาหกรรมขนาดกลาง มีจำนวนโรงงานประมาณ 88 และ 8% ของจำนวนโรงงานทั้งหมด ตามลำดับ นับเป็นกลุ่มใหญ่ที่ประสบความเดือดร้อนจากปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ และมีความต้องการสภาพคล่องเพื่อนำไปใช้ในกิจการหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับกิจการ ดังนั้น การพิจารณาจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) ให้แก่บรรษัทฯ เพิ่มขึ้นจะมีส่วนช่วยอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของประเทศ
3.2 การลงทุนประกอบกิจการอุตสาหกรรม ต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ การจัดระบบบริหารการผลิตและการจำหน่าย ระยะเวลาคืนทุนจึงช้ากว่าการประกอบธุรกิจประเภทอื่น ๆ และโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งอุตสาหกรรมชนบท ซึ่งมีจุดอ่อนทางเทคนิควิชาการทั้งด้านการผลิตและการจัดการจำเป็นต้องให้ระยะเวลาในการก่อตั้งและตั้งตัว โดยลักษณะธรรมชาติเช่นนี้ธนาคารพาณิชย์จึงไม่ค่อยให้ความสนใจที่จะสนับสนุนสินเชื่อแก่กลุ่มดังกล่าว จนเป็นภาระหน้าที่ของบรรษัทฯ ที่ต้องเข้าไปรองรับ โดยดำเนินการให้สินเชื่อที่มีเงื่อนไขผ่อนปรนในเรื่องอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาให้กู้
3.3 ด้วยเหตุที่บรรษัทฯ เป็นสถาบันการเงินที่มีภารกิจสนองนโยบายของรัฐบาลมีกลุ่มลูกค้าจำกัด และไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้หลากหลาย ดังเช่น ธนาคารพาณิชย์ ดังนั้น การจัดมาตรฐานหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบรรษัทฯ จึงไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกับธนาคารพาณิชย์ เพราะการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งเสริมอุตสาหกรรมชนบทให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืนจำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
นอกจากนี้ คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจให้ความเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของบรรษัทฯ โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมร่วมกันพิจารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 8 มิถุนายน 2541--