ทำเนียบรัฐบาล--4 มี.ค.--บิสนิวส์
คณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบสถาบันการเงิน ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นว่าจำเป็นต้องกำหนดมาตรการ ดังนี้
1. มาตรการกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน
1.1 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งการให้สถาบันการเงินกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งรวมถึงลูกหนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหา สำหรับธนาคารพาณิชย์ในอัตราร้อยละ 15 บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ร้อยละ 20 เริ่มตั้งแต่งวดบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไป โดยให้กันสำรองครบถ้วนให้เร็วที่สุดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในปีแรก แต่ไม่เกินระยะเวลา 2 ปี
1.2 วิธีปฏิบัติที่ผ่านมาของประเทศไทยนั้น สถาบันการเงินต้องกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นสูญและสงสัยในอัตราร้อยละ 100 เต็ม แต่ไม่ต้องกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ในมาตรฐานสากลมีหลายประเทศที่มีข้อกำหนดในเรื่องนี้ มาตรการนี้จึงเป็นการเพิ่มความเข้มงวดในมาตรฐานการกำกับให้เท่ากับระดับสากล และจะทำให้ฐานะของสถาบันการเงินของไทยแข็งแรงขึ้น
1.3 ในการนี้ คาดว่าสถาบันการเงิน (ไม่รวมธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ) จะต้องกันสำรองเพิ่มภายในช่วงระยะเวลา 2 ปีต่อไป ประมาณ 50,000 ล้านบาท เป็นธนาคารพาณิชย์ 24,000 ล้านบาท และบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 26,000 ล้านบาท
2. มาตรการเพิ่มทุนของสถาบันการเงิน
2.1 เพื่อให้สถาบันการเงินดำเนินการต่อไปด้วยความมั่นคง และให้ประชาชนมีความมั่นใจในฐานะของสถาบันการเงินอย่างเต็มที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำการตรวจสอบ วิเคราะห์ และติดตามฐานะของธนาคารพาณิชย์บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ทุกรายอย่างละเอียดแล้ว
2.2 ธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่ามีสถาบันการเงินที่มีปัญหาทรัพย์สินด้อยคุณภาพและมีปัญหาสภาพคล่อง จึงจะต้องสั่งการให้เพิ่มทุนทั้งสิ้น 10 รายการ เพื่อให้มีทุนพอเพียงที่จะรองรับความเสียหายจากลูกหนี้ธุรกิจอสังหา-ริมทรัพย์ ลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ รวมทั้งมีทุนเกินไว้อีกจำนวนหนึ่งเพื่อให้เกิดความมั่นคง ประกอบด้วย บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 9 ราย ได้แก่ บงล. คันทรี จำกัด บงล. รอยัลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บงล. ไทยฟูจิ จำกัดบงล. ทรัพย์ธำรง จำกัด บง. ศรีธนา จำกัด บงล. ตะวันออกฟายแนนซ์ จำกัด บงล. ศรีนคร จำกัด บงล. อินเตอร์เครดิตแอนด์ทรัสต์ จำกัด บงล. ไอทีเอฟ จำกัด และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 1 ราย ได้แก่ บค. ยูนิโก้เฮ้าซิ่ง จำกัด
2.3 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งการให้สถาบันการเงินเหล่านี้เพิ่มทุนโดยเร็วที่สุด แต่หากรายใดไม่สามารถเพิ่มทุนได้ภายในเวลาที่กำหนด ให้ขายหุ้นเพิ่มทุนนั้นให้แก่กองทุนฯ แทน ทั้งนี้ กองทุนฯ จะรับซื้อหุ้นเพิ่มทุนของสถาบันการเงินทุกรายตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งการ
2.4 สถาบันการเงินรายใดที่กองทุนฯ เข้าไปเพิ่มทุนจะต้องมีการปรับปรุงการบริหารงานเพื่อมิให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต และจะมีการพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะมีสถาบันการเงินทำการควบหรือรวมกิจการกันในอนาคต
2.5 นอกจากสถาบันการเงิน 10 รายข้างต้น สถาบันการเงินรายอื่นที่เหลือมีฐานะการเงินและความสามารถที่จะเพิ่มทุนได้ด้วยตนเอง
อนึ่ง การควบกิจการระหว่างธนาคารไทยทนุ จำกัด (มหาชน) กับบริษัทเงินทุนเอกธนกจ จำกัด (มหาชน) เป็นการริเริ่มของทั้งสองฝ่าย เพื่อประโยชน์ในเชิงธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขนาดและขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเป็นการผนึกกำลังระหว่างสององค์กร กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นด้วยในการดำเนินการดังกล่าว และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนเพื่อให้การควบกิจการในครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี และการควบกิจการดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบใด ๆ แก่ผู้ฝากเงิน และเจ้าหนี้อื่น ๆ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 4 มีนาคม 2540--
คณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบสถาบันการเงิน ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นว่าจำเป็นต้องกำหนดมาตรการ ดังนี้
1. มาตรการกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน
1.1 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งการให้สถาบันการเงินกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งรวมถึงลูกหนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหา สำหรับธนาคารพาณิชย์ในอัตราร้อยละ 15 บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ร้อยละ 20 เริ่มตั้งแต่งวดบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไป โดยให้กันสำรองครบถ้วนให้เร็วที่สุดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในปีแรก แต่ไม่เกินระยะเวลา 2 ปี
1.2 วิธีปฏิบัติที่ผ่านมาของประเทศไทยนั้น สถาบันการเงินต้องกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นสูญและสงสัยในอัตราร้อยละ 100 เต็ม แต่ไม่ต้องกันสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ในมาตรฐานสากลมีหลายประเทศที่มีข้อกำหนดในเรื่องนี้ มาตรการนี้จึงเป็นการเพิ่มความเข้มงวดในมาตรฐานการกำกับให้เท่ากับระดับสากล และจะทำให้ฐานะของสถาบันการเงินของไทยแข็งแรงขึ้น
1.3 ในการนี้ คาดว่าสถาบันการเงิน (ไม่รวมธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ) จะต้องกันสำรองเพิ่มภายในช่วงระยะเวลา 2 ปีต่อไป ประมาณ 50,000 ล้านบาท เป็นธนาคารพาณิชย์ 24,000 ล้านบาท และบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 26,000 ล้านบาท
2. มาตรการเพิ่มทุนของสถาบันการเงิน
2.1 เพื่อให้สถาบันการเงินดำเนินการต่อไปด้วยความมั่นคง และให้ประชาชนมีความมั่นใจในฐานะของสถาบันการเงินอย่างเต็มที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำการตรวจสอบ วิเคราะห์ และติดตามฐานะของธนาคารพาณิชย์บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ทุกรายอย่างละเอียดแล้ว
2.2 ธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่ามีสถาบันการเงินที่มีปัญหาทรัพย์สินด้อยคุณภาพและมีปัญหาสภาพคล่อง จึงจะต้องสั่งการให้เพิ่มทุนทั้งสิ้น 10 รายการ เพื่อให้มีทุนพอเพียงที่จะรองรับความเสียหายจากลูกหนี้ธุรกิจอสังหา-ริมทรัพย์ ลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ รวมทั้งมีทุนเกินไว้อีกจำนวนหนึ่งเพื่อให้เกิดความมั่นคง ประกอบด้วย บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 9 ราย ได้แก่ บงล. คันทรี จำกัด บงล. รอยัลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บงล. ไทยฟูจิ จำกัดบงล. ทรัพย์ธำรง จำกัด บง. ศรีธนา จำกัด บงล. ตะวันออกฟายแนนซ์ จำกัด บงล. ศรีนคร จำกัด บงล. อินเตอร์เครดิตแอนด์ทรัสต์ จำกัด บงล. ไอทีเอฟ จำกัด และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 1 ราย ได้แก่ บค. ยูนิโก้เฮ้าซิ่ง จำกัด
2.3 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะสั่งการให้สถาบันการเงินเหล่านี้เพิ่มทุนโดยเร็วที่สุด แต่หากรายใดไม่สามารถเพิ่มทุนได้ภายในเวลาที่กำหนด ให้ขายหุ้นเพิ่มทุนนั้นให้แก่กองทุนฯ แทน ทั้งนี้ กองทุนฯ จะรับซื้อหุ้นเพิ่มทุนของสถาบันการเงินทุกรายตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งการ
2.4 สถาบันการเงินรายใดที่กองทุนฯ เข้าไปเพิ่มทุนจะต้องมีการปรับปรุงการบริหารงานเพื่อมิให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต และจะมีการพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะมีสถาบันการเงินทำการควบหรือรวมกิจการกันในอนาคต
2.5 นอกจากสถาบันการเงิน 10 รายข้างต้น สถาบันการเงินรายอื่นที่เหลือมีฐานะการเงินและความสามารถที่จะเพิ่มทุนได้ด้วยตนเอง
อนึ่ง การควบกิจการระหว่างธนาคารไทยทนุ จำกัด (มหาชน) กับบริษัทเงินทุนเอกธนกจ จำกัด (มหาชน) เป็นการริเริ่มของทั้งสองฝ่าย เพื่อประโยชน์ในเชิงธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขนาดและขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเป็นการผนึกกำลังระหว่างสององค์กร กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วเห็นด้วยในการดำเนินการดังกล่าว และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนเพื่อให้การควบกิจการในครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี และการควบกิจการดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบใด ๆ แก่ผู้ฝากเงิน และเจ้าหนี้อื่น ๆ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)--วันที่ 4 มีนาคม 2540--