ทำเนียบรัฐบาล--6 ก.ค.--บิสนิวส์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบความคืบหน้าของมาตรการเพื่อเสริมสร้างสภาพคล่องทั้งระบบ 15 มาตรการของกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. จัดหาเงินกู้ยืมจากแหล่งเงินที่เป็นแหล่งเงินทุนกึ่งทางการ เช่น ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเซีย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น เป็นต้น ให้มากขึ้นนั้น ธนาคารโลกกำลังดำเนินการเสนออนุมัติเงินกู้ เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเงินเพื่อช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวจำนวน 400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะอนุมัติได้ในตอนต้นเดือนกรกฎาคม 2541 สำหรับเงินกู้ ADB - Cofinancing ได้ลงนามแล้วสัญญามีผลบังคับใช้เมื่อ 30 มิถุนายน 2541 และจะสามารถเริ่มเบิกจ่ายได้ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2541
2. ออกพันธบัตรในต่างประเทศเพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องภายในประเทศ อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อออกพันธบัตร โดยรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม
3. ส่งเสริมให้กระบวนการประมูลขายทรัพย์สินของ ปรส. มีความโปร่งใส มีมาตรฐานสากลเพื่อให้มีผู้นำเงินจากต่างประเทศมาซื้อทรัพย์สินดังกล่าว ได้มีการจำหน่ายสินทรัพย์ระหว่างเดือนมิถุนายน 2541 มี ดังนี้
- ศิลปวัตถุมีค่าเป็นเงิน 58.08 ล้านบาท
- บริษัทหลักทรัพย์ 2 บริษัทเป็นเงิน 380 ล้านบาท
- พันธบัตรรัฐบาล (ครั้งที่ 5) เป็นเงิน 1,789.23 ล้านบาท
- หลักทรัพย์จดทะเบียน (ครั้งที่ 3) เป็นเงิน 102.18 ล้านบาท
- รถยนต์ เป็นเงิน 358.27 ล้านบาท
- สินเชื่อเช่าซื้อ 24,858.79 ล้านบาท
- เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงาน เป็นเงิน 8.30 ล้านบาท
- หลักทรัพย์จดทะเบียน (ที่ไม่ได้ประมูล) 42.62 ล้านบาท
* รวมมูลค่าการจำหน่ายสินทรัพย์ทั้งสิ้น ณ 30 มิถุนายน 2541 เท่ากับ 37,529.64 ล้านบาท
4. เร่งรัดให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินทุนเข้าจากต่างประเทศ ธนาคารเอเชียสามารถเพิ่มทุน โดยได้เซ็นสัญญาให้ เอบีเอ็น แอมโร เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 7,500 ล้านบาท คิดเป็น 75% ของทุนจดทะเบียนธนาคารเอเชีย
5. แก้ไขปัญหาความบิดเบือนในตลาดเงินระยะสั้น รวมทั้งหยุดยั้งการเติมโตของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
- วันที่ 10 มิถุนายน 2541 ออกพันธบัตร 1 ปี จำนวน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 12.75%
- วันที่ 15 มิถุนายน 2541 ออกพันธบัตรอายุ 1 ปี จำนวน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 12.75%
6. ให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเร่งรัดกระบวนการประนอมหนี้กับลูกหนี้เพื่อที่จะทำให้กิจการสามารถดำเนินการต่อไปได้
- สำหรับมาตรการทางภาษีเพื่อปรับโครงสร้างหนี้นั้น ทางกรมสรรพกรได้ตราพระราชกฤษฎี และออกกฎกระทรวงแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฉบับที่ 186 (2534)ฯ และเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติทันทีกรมสรรพากรได้มีการจัดทำประกาศอธิบดีกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้องกับมาตรการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ โดยจะมีผลบังคับใช้พร้อมกับพระราชกฤษฎีกา และกฎกระทรวง ซึ่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
- ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ภาคเอกชนเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 มีบริษัทลูกหนี้ที่จะนำมาปรับโครงสร้างหนี้เบื้องต้น 18 ราย สำหรับร่างวิธีปฏิบัติการปรับโครงสร้างหนี้ที่ 5 สมาคมเอกชนเสนอ ธปท. จะประกาศออกเป็นหลักเกณฑ์ในสัปดาห์หน้า โดยการปรับโครงสร้างหนี้และรายกำหนดไม่เกิน 110 วัน ซึ่งระยะแรกเจ้าหนี้และลูกหนี้ต้องเปิดเผยข้อมูลทุกเรื่องให้ธปท. ทุกเดือน หากตกลงกันได้และทีท่าทีดีขึ้นให้รายงาน ธปท. ทุกไตรมาส
7. ศึกษาแนวทางนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่จะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ โดยให้มีผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดให้น้อยที่สุด
8. เร่งรัดให้มีการประนอมหนี้กับสถาบันการเงินต่างประเทศในภาคธุรกิจให้มีความรวดเร็วมากขึ้น
9. เร่งรัดการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเอเชียได้เซ็นสัญญาให้ เอบีเอ็น แอมโร เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 7,500 ล้านบาท คิดเป็น 75% ของทุน จดทะเบียนธนาคารเอเชีย เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2541
10. เร่งรัดการแก้ไขโครงสร้างกฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินโดยเร็วที่สุด ขณะนี้อยู่ในระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติม
- กฎหมายว่าด้วยหลักประกันและการบังคับหลักประกันอยู่ระหว่างการยกร่างของคณะอนุกรรมการพิจารณาแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันและการบังคับหลักประกัน เพื่อนำเสนอครม. คาดว่าแล้วเสร็จในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541
- กฎหมายว่าด้วยการล้มละลายอยู่ระหว่างการตรวจร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกา
- กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองร์ซิเอร์และกฎหมายว่าด้วยธนาคารพาณิชย์ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสศค. และรอรับข้อมูลเพิ่มเติมจาก ธปท.
11. ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกันศึกษาการฟื้นสภาพตลาดหลักทรัพย์ของประเทศเพื่อนำมาซึ่งการลงทุนในหลักทรัพย์จากต่างประเทศ
12. ดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยความโปร่งใสและมีความสมดุลในการจัดประโยชน์
- คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งสำนักงานรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540
- บริษัทมหาชน จำกัด ปตท. ผลิตสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ได้ขายหุ้นและหุ้นเพิ่มทุนจำนวนร้อยละ 10 ของทุนจดทะเบียน หรือประมาณ 32.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 300 บาท เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2541
- บริษัทมหาชน จำกัด ผลิตไฟฟ้า ได้เปิดประมูลขายหุ้นได้ในราคาหุ้นละ 126 บาท ในวงเงิน 239 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
13. ดำเนินนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้นในลักษณะที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในแนวนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและอัตราแลกเปลี่ยน ทางการได้ดำเนินมาตรการทางการเงินที่สำคัญหลายด้าน ทำให้อัตราดอกเบี้ย R/P 1 วัน ได้ลดจากระดับ 20% มาอยู่ที่ระดับ 16.375% (ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2541)
14. เร่งแก้ไขกลไกทางการเงินที่ขาดหายไป เช่น การให้เช่าซื้อและเร่งฟื้นความสามารถของสถาบันการเงินในการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
- จากโครงการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินในบริษัทเงินทุน 56 รายที่ถูกปิดกิจการตั้งแต่ 8 มกราคม 2540 ซึ่งต้องนำตั๋วไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ หรือธนาคารกรุงไทยแล้วแต่กรณี และเพื่อให้การรับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินมีความคล่องตัวมากขึ้นและเสริมสภาพคล่องให้กับระบบการเงินอีกทางหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้พิจารณาอนุญาต ให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจสามารถดำเนินการเพิ่มเติมได้ดังนี้ (ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2541)
1) จัดหาแหล่งเงินทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินตามโครงการได้
2) รับซื้อลดตั๋วสัญญาตามโครงการฯ เพื่อนำมาโอนขายต่อให้บุคคลธรรมดา และ/หรือนิติบุคคล และ/ หรือโอนสิทธิการรับเงินตามตั๋วให้กับนิติบุคคลเฉพาะกิจได้
3) ผ่อนปรนตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ เพื่อให้การดำเนินการตามโครงการดังกล่าวมีความคล่องตัวขึ้น นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้ตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ และบัตรเงินฝากของธนาคารกรุงไทย ที่เกิดจากการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว 56 บริษัทเงินทุนที่ปิดกิจการเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์และ บริษัทเงินทุนได้ ตามระยะเท่ากับอายุของตั๋วสัญญาและบัตรเงินฝากนั้น โดยให้มีน้ำหนักความเสี่ยงเป็นศูนย์ในการคำนวณการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์และภาระผูกพัน
15. เร่งรัดการเบิกจ่ายให้กับผู้รับเหมาที่ทำงานให้ภาครัฐโดยเร็ว คณะรัฐมนตรีได้มติเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ 4 ด้าน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2541 ได้แก่
1) ให้หน่วยงานราชการทุกแห่งจำกัดระยะเวลาการพิจารณาการรับเหมา จ้างงาน จัดซื้อวัสดุเพื่อให้การวางฎีการวดเร็วยิ่งขึ้น
2) ให้หน่วยงานราชการแบ่งจำนวนเงินงวดที่ต้องชำระเงินให้มีจำนวนงวดมากขึ้น ในงบประมาณปี 2541 และให้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติในงบประมาณปี 2542
3) การพิจารณาเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนงานวิจัย ให้มีความผ่อนคลายไปจากเดิม โดยจะแก้ไขกฎระเบียบของกระทรวงการคลังเพื่อเร่งรัดการเบิกจ่าย ทั้งในปีงบประมาณ 2541 และงบประมาณที่ได้รับจากการขาดดุลเพิ่ม
4) โครงการใหม่ และโครงการที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2541 และจะได้รับงบประมาณสนับสนุนต่อเนื่องในปี 2542 ให้มีการใช้ประโยชน์จากระเบียบพัสดุอย่างเต็มที่ หรือให้มีการจ่ายเงินล่วงหน้า 15% (จากที่ผ่านมาบางหน่วยงานมีการเบิกจ่ายเงินงวดแรกเพียง 5 - 10%)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 6 กรกฎาคม 2541--
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบความคืบหน้าของมาตรการเพื่อเสริมสร้างสภาพคล่องทั้งระบบ 15 มาตรการของกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. จัดหาเงินกู้ยืมจากแหล่งเงินที่เป็นแหล่งเงินทุนกึ่งทางการ เช่น ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเซีย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น เป็นต้น ให้มากขึ้นนั้น ธนาคารโลกกำลังดำเนินการเสนออนุมัติเงินกู้ เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเงินเพื่อช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวจำนวน 400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะอนุมัติได้ในตอนต้นเดือนกรกฎาคม 2541 สำหรับเงินกู้ ADB - Cofinancing ได้ลงนามแล้วสัญญามีผลบังคับใช้เมื่อ 30 มิถุนายน 2541 และจะสามารถเริ่มเบิกจ่ายได้ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2541
2. ออกพันธบัตรในต่างประเทศเพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องภายในประเทศ อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อออกพันธบัตร โดยรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม
3. ส่งเสริมให้กระบวนการประมูลขายทรัพย์สินของ ปรส. มีความโปร่งใส มีมาตรฐานสากลเพื่อให้มีผู้นำเงินจากต่างประเทศมาซื้อทรัพย์สินดังกล่าว ได้มีการจำหน่ายสินทรัพย์ระหว่างเดือนมิถุนายน 2541 มี ดังนี้
- ศิลปวัตถุมีค่าเป็นเงิน 58.08 ล้านบาท
- บริษัทหลักทรัพย์ 2 บริษัทเป็นเงิน 380 ล้านบาท
- พันธบัตรรัฐบาล (ครั้งที่ 5) เป็นเงิน 1,789.23 ล้านบาท
- หลักทรัพย์จดทะเบียน (ครั้งที่ 3) เป็นเงิน 102.18 ล้านบาท
- รถยนต์ เป็นเงิน 358.27 ล้านบาท
- สินเชื่อเช่าซื้อ 24,858.79 ล้านบาท
- เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงาน เป็นเงิน 8.30 ล้านบาท
- หลักทรัพย์จดทะเบียน (ที่ไม่ได้ประมูล) 42.62 ล้านบาท
* รวมมูลค่าการจำหน่ายสินทรัพย์ทั้งสิ้น ณ 30 มิถุนายน 2541 เท่ากับ 37,529.64 ล้านบาท
4. เร่งรัดให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินทุนเข้าจากต่างประเทศ ธนาคารเอเชียสามารถเพิ่มทุน โดยได้เซ็นสัญญาให้ เอบีเอ็น แอมโร เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 7,500 ล้านบาท คิดเป็น 75% ของทุนจดทะเบียนธนาคารเอเชีย
5. แก้ไขปัญหาความบิดเบือนในตลาดเงินระยะสั้น รวมทั้งหยุดยั้งการเติมโตของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
- วันที่ 10 มิถุนายน 2541 ออกพันธบัตร 1 ปี จำนวน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 12.75%
- วันที่ 15 มิถุนายน 2541 ออกพันธบัตรอายุ 1 ปี จำนวน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 12.75%
6. ให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเร่งรัดกระบวนการประนอมหนี้กับลูกหนี้เพื่อที่จะทำให้กิจการสามารถดำเนินการต่อไปได้
- สำหรับมาตรการทางภาษีเพื่อปรับโครงสร้างหนี้นั้น ทางกรมสรรพกรได้ตราพระราชกฤษฎี และออกกฎกระทรวงแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฉบับที่ 186 (2534)ฯ และเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติทันทีกรมสรรพากรได้มีการจัดทำประกาศอธิบดีกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้องกับมาตรการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ โดยจะมีผลบังคับใช้พร้อมกับพระราชกฤษฎีกา และกฎกระทรวง ซึ่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
- ผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ภาคเอกชนเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 มีบริษัทลูกหนี้ที่จะนำมาปรับโครงสร้างหนี้เบื้องต้น 18 ราย สำหรับร่างวิธีปฏิบัติการปรับโครงสร้างหนี้ที่ 5 สมาคมเอกชนเสนอ ธปท. จะประกาศออกเป็นหลักเกณฑ์ในสัปดาห์หน้า โดยการปรับโครงสร้างหนี้และรายกำหนดไม่เกิน 110 วัน ซึ่งระยะแรกเจ้าหนี้และลูกหนี้ต้องเปิดเผยข้อมูลทุกเรื่องให้ธปท. ทุกเดือน หากตกลงกันได้และทีท่าทีดีขึ้นให้รายงาน ธปท. ทุกไตรมาส
7. ศึกษาแนวทางนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่จะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ โดยให้มีผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดให้น้อยที่สุด
8. เร่งรัดให้มีการประนอมหนี้กับสถาบันการเงินต่างประเทศในภาคธุรกิจให้มีความรวดเร็วมากขึ้น
9. เร่งรัดการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเอเชียได้เซ็นสัญญาให้ เอบีเอ็น แอมโร เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 7,500 ล้านบาท คิดเป็น 75% ของทุน จดทะเบียนธนาคารเอเชีย เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2541
10. เร่งรัดการแก้ไขโครงสร้างกฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินโดยเร็วที่สุด ขณะนี้อยู่ในระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติม
- กฎหมายว่าด้วยหลักประกันและการบังคับหลักประกันอยู่ระหว่างการยกร่างของคณะอนุกรรมการพิจารณาแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันและการบังคับหลักประกัน เพื่อนำเสนอครม. คาดว่าแล้วเสร็จในวันที่ 31 กรกฎาคม 2541
- กฎหมายว่าด้วยการล้มละลายอยู่ระหว่างการตรวจร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกา
- กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองร์ซิเอร์และกฎหมายว่าด้วยธนาคารพาณิชย์ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสศค. และรอรับข้อมูลเพิ่มเติมจาก ธปท.
11. ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกันศึกษาการฟื้นสภาพตลาดหลักทรัพย์ของประเทศเพื่อนำมาซึ่งการลงทุนในหลักทรัพย์จากต่างประเทศ
12. ดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยความโปร่งใสและมีความสมดุลในการจัดประโยชน์
- คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งสำนักงานรัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์ของรัฐเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540
- บริษัทมหาชน จำกัด ปตท. ผลิตสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ได้ขายหุ้นและหุ้นเพิ่มทุนจำนวนร้อยละ 10 ของทุนจดทะเบียน หรือประมาณ 32.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 300 บาท เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2541
- บริษัทมหาชน จำกัด ผลิตไฟฟ้า ได้เปิดประมูลขายหุ้นได้ในราคาหุ้นละ 126 บาท ในวงเงิน 239 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
13. ดำเนินนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้นในลักษณะที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในแนวนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและอัตราแลกเปลี่ยน ทางการได้ดำเนินมาตรการทางการเงินที่สำคัญหลายด้าน ทำให้อัตราดอกเบี้ย R/P 1 วัน ได้ลดจากระดับ 20% มาอยู่ที่ระดับ 16.375% (ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2541)
14. เร่งแก้ไขกลไกทางการเงินที่ขาดหายไป เช่น การให้เช่าซื้อและเร่งฟื้นความสามารถของสถาบันการเงินในการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
- จากโครงการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินในบริษัทเงินทุน 56 รายที่ถูกปิดกิจการตั้งแต่ 8 มกราคม 2540 ซึ่งต้องนำตั๋วไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ หรือธนาคารกรุงไทยแล้วแต่กรณี และเพื่อให้การรับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินมีความคล่องตัวมากขึ้นและเสริมสภาพคล่องให้กับระบบการเงินอีกทางหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้พิจารณาอนุญาต ให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจสามารถดำเนินการเพิ่มเติมได้ดังนี้ (ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2541)
1) จัดหาแหล่งเงินทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินตามโครงการได้
2) รับซื้อลดตั๋วสัญญาตามโครงการฯ เพื่อนำมาโอนขายต่อให้บุคคลธรรมดา และ/หรือนิติบุคคล และ/ หรือโอนสิทธิการรับเงินตามตั๋วให้กับนิติบุคคลเฉพาะกิจได้
3) ผ่อนปรนตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ เพื่อให้การดำเนินการตามโครงการดังกล่าวมีความคล่องตัวขึ้น นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้ตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ และบัตรเงินฝากของธนาคารกรุงไทย ที่เกิดจากการรับแลกเปลี่ยนตั๋ว 56 บริษัทเงินทุนที่ปิดกิจการเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์และ บริษัทเงินทุนได้ ตามระยะเท่ากับอายุของตั๋วสัญญาและบัตรเงินฝากนั้น โดยให้มีน้ำหนักความเสี่ยงเป็นศูนย์ในการคำนวณการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์และภาระผูกพัน
15. เร่งรัดการเบิกจ่ายให้กับผู้รับเหมาที่ทำงานให้ภาครัฐโดยเร็ว คณะรัฐมนตรีได้มติเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ 4 ด้าน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2541 ได้แก่
1) ให้หน่วยงานราชการทุกแห่งจำกัดระยะเวลาการพิจารณาการรับเหมา จ้างงาน จัดซื้อวัสดุเพื่อให้การวางฎีการวดเร็วยิ่งขึ้น
2) ให้หน่วยงานราชการแบ่งจำนวนเงินงวดที่ต้องชำระเงินให้มีจำนวนงวดมากขึ้น ในงบประมาณปี 2541 และให้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติในงบประมาณปี 2542
3) การพิจารณาเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนงานวิจัย ให้มีความผ่อนคลายไปจากเดิม โดยจะแก้ไขกฎระเบียบของกระทรวงการคลังเพื่อเร่งรัดการเบิกจ่าย ทั้งในปีงบประมาณ 2541 และงบประมาณที่ได้รับจากการขาดดุลเพิ่ม
4) โครงการใหม่ และโครงการที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2541 และจะได้รับงบประมาณสนับสนุนต่อเนื่องในปี 2542 ให้มีการใช้ประโยชน์จากระเบียบพัสดุอย่างเต็มที่ หรือให้มีการจ่ายเงินล่วงหน้า 15% (จากที่ผ่านมาบางหน่วยงานมีการเบิกจ่ายเงินงวดแรกเพียง 5 - 10%)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 6 กรกฎาคม 2541--