ทำเนียบรัฐบาล--27 มิ.ย.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มาตรการส่งเสริมการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม อีก 3 ประการ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การขยายขอบข่ายและช่วงเวลาการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์
1) ขยายขอบข่ายการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 เพิ่มเติม อีก 2 กรณี คือ
- การโอนที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ในการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการจัดสรรที่ดิน
- การโอนอาคารหรืออาคารพร้อมที่ดิน รวมทั้งที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง โดยการเคหะแห่งชาติหรือหน่วยงานของทางราชการซึ่งมีอำนาจทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย
2) ขยายระยะเวลาการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเดิมจะสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2543 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2544 โดยครอบคลุมทั้งกรณีสนับสนุนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการทั่วไป และกรณีสนับสนุนการซื้อขายห้องชุดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
มาตรการนี้จะช่วยลดต้นทุนการโอนอสังหาริมทรัพย์ได้กว้างขวางและต่อเนื่องไปอีก 1 ปี อันจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในช่วงดังกล่าวมากขึ้น อนึ่ง ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงเพิ่มเติมตามมาตรการนี้คาดว่าจะเป็นวงเงินงบประมาณ 1,100 ล้านบาท
2. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย
เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาที่มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อนำมาซื้อเช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย เพิ่มเติมจากระดับปัจจุบันที่สามารถหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อปี คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้จำนวนเท่าที่ผู้มีเงินได้ ได้จ่ายเป็นค่าดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยมีการจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้าง ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 40,000 บาท การยกเว้นนี้จะมีผลเสมือนให้ผู้มีเงินได้สามารถหักค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัยได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท
เพื่อให้มาตรการนี้มีผลส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองกว้างขวางยิ่งขึ้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ขยายขอบเขตการได้รับสิทธิประโยชน์กรณีนี้ครอบคลุมถึงการซื้อ หรือเช่าซื้ออาคารที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 หลังก็ได้ รวมถึงดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมใหม่เพื่อมาชดเชยใช้เงินกู้ยืมเดิม (Refinance) แต่ทั้งนี้วงเงินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ ทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 50,000 บาทต่อปี
มาตรการนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 เป็นต้นไป โดยคาดว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงจากมาตรการนี้ ประมาณปีละ 550 ล้านบาท
3. การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์
ปัจจุบันการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3.3 (รวมภาษีท้องถิ่น) ของรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของธุรกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์โดยตรง คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรทุกประเภท จากอัตราร้อยละ 3.3 (รวมภาษีท้องถิ่น) คงเหลือร้อยละ 0.11 (รวมภาษีท้องถิ่น) เป็นการชั่วคราว ถึงวันที่ 31ธันวาคม 2544
มาตรการนี้จะช่วยทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง จูงใจให้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ช่วยการฟื้นตัวของธุรกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างได้โดยตรง นอกจากนี้ ผลดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ของภาคเอกชน และช่วยลดปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินในประเทศอีกด้วย
การปรับลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะครั้งนี้ คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 5,200 ล้านบาท (รวมภาษีท้องถิ่น) อย่างไรก็ดี หากภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีการฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว ก็คาดว่าในระยะยาวจะทำให้มีการจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็นการชดเชยรายได้ภาษีอากรที่ต้องสูญเสียไปในปัจจุบัน
กระทรวงการคลังมีความเชื่อมั่นว่า มาตรการส่งเสริมการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ออกมาแล้ว และที่มีการออกเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญยิ่งในการแก้ไขปัญหาของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญภาคหนึ่ง และนำไปสู่การฟื้นตัวและการขยายตัวอย่างเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยโดยรวมต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่กระจายไปทั่วทุกภาคเศรษฐกิจเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมจากมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อ 10 สิงหาคม 2542 มาตรการเพิ่มเติมในเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระภาษีเป็นการทั่วไปให้มากยิ่งขึ้นในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งวางระบบเพื่อสร้างความมั่นใจในระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มาตรการเพิ่มเติมชุดนี้ประกอบด้วยมาตรการ 5 ด้าน ด้วยกันคือ
1. การยกเว้นภาษีเงินได้ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน
2. การออกกฎหมายว่าด้วยการจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
3. การขยายขอบข่ายและช่วงเวลาการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์
4. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย
5. การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับจากการขยายอสังหาริมทรัพย์
สำหรับมาตรการที่ 1 และ 2 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2543 และ 6 มิถุนายน 2543 ตามลำดับ โดยมาตรการที่ 1 ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถนำภาระค่าใช้จ่ายจากดอกเบี้ยเงินกู้ยืมซื้อที่ดินมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ สำหรับมาตรการที่ 2 จะเป็นการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา เพื่อวางระบบสร้างความมั่นใจในระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 27 มิ.ย. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มาตรการส่งเสริมการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม อีก 3 ประการ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การขยายขอบข่ายและช่วงเวลาการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์
1) ขยายขอบข่ายการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 เพิ่มเติม อีก 2 กรณี คือ
- การโอนที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ในการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการจัดสรรที่ดิน
- การโอนอาคารหรืออาคารพร้อมที่ดิน รวมทั้งที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง โดยการเคหะแห่งชาติหรือหน่วยงานของทางราชการซึ่งมีอำนาจทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย
2) ขยายระยะเวลาการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเดิมจะสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2543 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2544 โดยครอบคลุมทั้งกรณีสนับสนุนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการทั่วไป และกรณีสนับสนุนการซื้อขายห้องชุดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
มาตรการนี้จะช่วยลดต้นทุนการโอนอสังหาริมทรัพย์ได้กว้างขวางและต่อเนื่องไปอีก 1 ปี อันจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในช่วงดังกล่าวมากขึ้น อนึ่ง ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงเพิ่มเติมตามมาตรการนี้คาดว่าจะเป็นวงเงินงบประมาณ 1,100 ล้านบาท
2. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย
เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาที่มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อนำมาซื้อเช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย เพิ่มเติมจากระดับปัจจุบันที่สามารถหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อปี คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้จำนวนเท่าที่ผู้มีเงินได้ ได้จ่ายเป็นค่าดอกเบี้ยเงินกู้ยืม สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย โดยมีการจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้าง ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 40,000 บาท การยกเว้นนี้จะมีผลเสมือนให้ผู้มีเงินได้สามารถหักค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัยได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท
เพื่อให้มาตรการนี้มีผลส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองกว้างขวางยิ่งขึ้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ขยายขอบเขตการได้รับสิทธิประโยชน์กรณีนี้ครอบคลุมถึงการซื้อ หรือเช่าซื้ออาคารที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 หลังก็ได้ รวมถึงดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมใหม่เพื่อมาชดเชยใช้เงินกู้ยืมเดิม (Refinance) แต่ทั้งนี้วงเงินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ ทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 50,000 บาทต่อปี
มาตรการนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 เป็นต้นไป โดยคาดว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงจากมาตรการนี้ ประมาณปีละ 550 ล้านบาท
3. การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์
ปัจจุบันการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3.3 (รวมภาษีท้องถิ่น) ของรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของธุรกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์โดยตรง คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไรทุกประเภท จากอัตราร้อยละ 3.3 (รวมภาษีท้องถิ่น) คงเหลือร้อยละ 0.11 (รวมภาษีท้องถิ่น) เป็นการชั่วคราว ถึงวันที่ 31ธันวาคม 2544
มาตรการนี้จะช่วยทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง จูงใจให้มีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ช่วยการฟื้นตัวของธุรกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างได้โดยตรง นอกจากนี้ ผลดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ของภาคเอกชน และช่วยลดปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินในประเทศอีกด้วย
การปรับลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะครั้งนี้ คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 5,200 ล้านบาท (รวมภาษีท้องถิ่น) อย่างไรก็ดี หากภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีการฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว ก็คาดว่าในระยะยาวจะทำให้มีการจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็นการชดเชยรายได้ภาษีอากรที่ต้องสูญเสียไปในปัจจุบัน
กระทรวงการคลังมีความเชื่อมั่นว่า มาตรการส่งเสริมการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ออกมาแล้ว และที่มีการออกเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญยิ่งในการแก้ไขปัญหาของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญภาคหนึ่ง และนำไปสู่การฟื้นตัวและการขยายตัวอย่างเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยโดยรวมต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่กระจายไปทั่วทุกภาคเศรษฐกิจเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมจากมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อ 10 สิงหาคม 2542 มาตรการเพิ่มเติมในเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระภาษีเป็นการทั่วไปให้มากยิ่งขึ้นในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งวางระบบเพื่อสร้างความมั่นใจในระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มาตรการเพิ่มเติมชุดนี้ประกอบด้วยมาตรการ 5 ด้าน ด้วยกันคือ
1. การยกเว้นภาษีเงินได้ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหรือให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน
2. การออกกฎหมายว่าด้วยการจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา
3. การขยายขอบข่ายและช่วงเวลาการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์
4. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย
5. การลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับจากการขยายอสังหาริมทรัพย์
สำหรับมาตรการที่ 1 และ 2 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2543 และ 6 มิถุนายน 2543 ตามลำดับ โดยมาตรการที่ 1 ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถนำภาระค่าใช้จ่ายจากดอกเบี้ยเงินกู้ยืมซื้อที่ดินมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ สำหรับมาตรการที่ 2 จะเป็นการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา เพื่อวางระบบสร้างความมั่นใจในระบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 27 มิ.ย. 2543--
-สส-