คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการเรื่องการจำหน่ายลำไยอบแห้งตามโครงการรับจำนำลำไยอบแห้ง ปี 2543 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ยืดอายุเวลาการจำนำลำไยอบแห้งออกไปเพื่อมิให้เกษตรกรหลุดจำนำ และเพื่อให้เกษตรกรได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม เนื่องจากราคารับซื้อเป็นราคาที่ต่ำกว่าทุน
ทั้งนี้ สหพันธ์ชาวสวนลำไยแห่งประเทศไทยและสหพันธ์สหกรณ์ชาวสวนลำไยภาคเหนือได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขอให้รัฐบาลคืนส่วนต่างหรือกำไรที่ได้จากการจำหน่ายลำไยอบแห้งที่หลุดจำนำ ภายใต้โครงการรับจำนำลำไยอบแห้งที่หลุดจำนำ ภายใต้โครงการรับจำนำลำไยอบแห้ง ปี 2543 ให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2543 อนุมัติดำเนินการโครงการรับจำนำลำไยอบแห้ง ปี 2543 เพื่อแก้ปัญหาราคาลำไยตกต่ำเนื่องจากฤดูกาลผลิตปี 2543 มีผลผลิตปริมาณสูงถึง 300,000 ตัน ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาจำนวนมาก เป็นผลทำให้ราคาลำไยตกต่ำมากเกษตรกรจึงได้นำไปแปรรูปเป็นลำไยอบแห้งเก็บรักษาไว้เพื่อนำออกจำหน่ายภายหลัง แต่ราคาลำไยอบแห้งในขณะนั้นยังมีราคาตกต่ำไม่สามารถจำหน่ายได้เนื่องจากไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต คชก. จึงได้มอบหมายให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) และองค์การคลังสินค้า (อคส.) รับจำนำลำไยอบแห้งทั้งเปลือกจากเกษตรกร/สถาบันเกษตรกร โดยใช้วงเงินดำเนินการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาโครงการเดือนกรกฎาคม 2543 ถึงมิถุนายน 2544 ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือนนับจากเดือนที่รับจำนำ
ต่อมา คชก. มีมติเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2544 ให้ขยายระยะเวลาการไถ่ถอนจาก 5 เดือน เป็นไถ่ถอนภายในเดือนพฤษภาคม 2544 และให้ขยายระยะเวลาโครงการสิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2544 และให้จำหน่ายลำไยอบแห้งที่หลุดจำนำแล้ว โดยให้มีคณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้งเมื่อพ้นกำหนดไถ่ถอนตามโครงการรับจำนำลำไยอบแห้ง2543 ประกอบด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายนที ขลิบทอง) เป็นประธาน อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นเลขานุการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เจรจาซื้อขายลำไยกับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงการค้าและเศรษฐกิจสัมพันธ์กับต่างประเทศ (MOFTEC) ของจีน ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงระหว่างกัน (Letter of Intent) เมื่อวันที่12 มิถุนายน 2544 และกำหนดให้มีการเจรจาซื้อขายลำไยอบแห้ง 2,000 ตัน เพื่อเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างนายกรัฐมนตรี จู หลงจี กับ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร โดยกำหนดระยะเวลาการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2544 ทั้งนี้ ได้เจรจาต่อรองกับจีนรวม 5 ครั้ง โดยบริษัทผู้แทนได้เสนอราคา FOB กรุงเทพฯ เกรด AA กิโลกรัมละ 66.38 บาท และเกรด A กิโลกรัมละ 46.38 บาท ในจำนวน 2,000 ตัน โดยการตรวจสอบคุณภาพจะต้องตรวจสอบทั้งก่อนการบรรจุแล้วส่งออก และตรวจสอบอีกครั้งเมื่อสินค้าถึงปลายทางที่ประเทศจีนแล้ว ขณะเดียวกันผู้ซื้อสิงคโปร์ได้เสนอราคา FOB กรุงเทพฯ เกรด AA กิโลกรัมละ 68 บาท เกรด A กิโลกรัมละ 46.75 บาท โดยซื้อทั้งหมดมีการตรวจสอบคุณภาพเฉพาะก่อนการส่งออกเท่านั้น
คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม2544 เห็นชอบให้ขายลำไยอบแห้งทั้งหมดให้แก่ผู้เสนอซื้อจากสิงคโปร์ กำหนดส่งมอบภายใน 90 วัน ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการจำหน่ายให้รวมในต้นทุนการบริหารโครงการ ส่วนต่างของรายได้หรือกำไรที่เกิดขึ้น ปฏิบัติตามระเบียบของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 17 ก.ค.44--
-สส-
ทั้งนี้ สหพันธ์ชาวสวนลำไยแห่งประเทศไทยและสหพันธ์สหกรณ์ชาวสวนลำไยภาคเหนือได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขอให้รัฐบาลคืนส่วนต่างหรือกำไรที่ได้จากการจำหน่ายลำไยอบแห้งที่หลุดจำนำ ภายใต้โครงการรับจำนำลำไยอบแห้งที่หลุดจำนำ ภายใต้โครงการรับจำนำลำไยอบแห้ง ปี 2543 ให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2543 อนุมัติดำเนินการโครงการรับจำนำลำไยอบแห้ง ปี 2543 เพื่อแก้ปัญหาราคาลำไยตกต่ำเนื่องจากฤดูกาลผลิตปี 2543 มีผลผลิตปริมาณสูงถึง 300,000 ตัน ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาจำนวนมาก เป็นผลทำให้ราคาลำไยตกต่ำมากเกษตรกรจึงได้นำไปแปรรูปเป็นลำไยอบแห้งเก็บรักษาไว้เพื่อนำออกจำหน่ายภายหลัง แต่ราคาลำไยอบแห้งในขณะนั้นยังมีราคาตกต่ำไม่สามารถจำหน่ายได้เนื่องจากไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต คชก. จึงได้มอบหมายให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) และองค์การคลังสินค้า (อคส.) รับจำนำลำไยอบแห้งทั้งเปลือกจากเกษตรกร/สถาบันเกษตรกร โดยใช้วงเงินดำเนินการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาโครงการเดือนกรกฎาคม 2543 ถึงมิถุนายน 2544 ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือนนับจากเดือนที่รับจำนำ
ต่อมา คชก. มีมติเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2544 ให้ขยายระยะเวลาการไถ่ถอนจาก 5 เดือน เป็นไถ่ถอนภายในเดือนพฤษภาคม 2544 และให้ขยายระยะเวลาโครงการสิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2544 และให้จำหน่ายลำไยอบแห้งที่หลุดจำนำแล้ว โดยให้มีคณะกรรมการจำหน่ายลำไยอบแห้งเมื่อพ้นกำหนดไถ่ถอนตามโครงการรับจำนำลำไยอบแห้ง2543 ประกอบด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายนที ขลิบทอง) เป็นประธาน อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นเลขานุการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เจรจาซื้อขายลำไยกับกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงการค้าและเศรษฐกิจสัมพันธ์กับต่างประเทศ (MOFTEC) ของจีน ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงระหว่างกัน (Letter of Intent) เมื่อวันที่12 มิถุนายน 2544 และกำหนดให้มีการเจรจาซื้อขายลำไยอบแห้ง 2,000 ตัน เพื่อเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างนายกรัฐมนตรี จู หลงจี กับ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร โดยกำหนดระยะเวลาการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2544 ทั้งนี้ ได้เจรจาต่อรองกับจีนรวม 5 ครั้ง โดยบริษัทผู้แทนได้เสนอราคา FOB กรุงเทพฯ เกรด AA กิโลกรัมละ 66.38 บาท และเกรด A กิโลกรัมละ 46.38 บาท ในจำนวน 2,000 ตัน โดยการตรวจสอบคุณภาพจะต้องตรวจสอบทั้งก่อนการบรรจุแล้วส่งออก และตรวจสอบอีกครั้งเมื่อสินค้าถึงปลายทางที่ประเทศจีนแล้ว ขณะเดียวกันผู้ซื้อสิงคโปร์ได้เสนอราคา FOB กรุงเทพฯ เกรด AA กิโลกรัมละ 68 บาท เกรด A กิโลกรัมละ 46.75 บาท โดยซื้อทั้งหมดมีการตรวจสอบคุณภาพเฉพาะก่อนการส่งออกเท่านั้น
คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม2544 เห็นชอบให้ขายลำไยอบแห้งทั้งหมดให้แก่ผู้เสนอซื้อจากสิงคโปร์ กำหนดส่งมอบภายใน 90 วัน ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการจำหน่ายให้รวมในต้นทุนการบริหารโครงการ ส่วนต่างของรายได้หรือกำไรที่เกิดขึ้น ปฏิบัติตามระเบียบของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 17 ก.ค.44--
-สส-