ทำเนียบรัฐบาล--12 ธ.ค.--นิวส์สแตนด์
ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. …. และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. …. และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 ให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของทางราชการ พ.ศ. 2539
1.2 กำหนดบทลงโทษในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้โดยเคร่งครัด
1.3 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ" เรียกโดยย่อว่า "กคร." มีรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน
1.4 กำหนดการแต่งตั้ง การพ้นจากตำแหน่ง วาระการดำรงตำแหน่ง และอำนาจหน้าที่ของกรรมการ กคร.
1.5 ให้มีสำนักงานเลขานุการ กคร. ขึ้นในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ปฏิบัติงานธุรการและงานอื่นตามที่ กคร. มอบหมาย
1.6 ให้มีกรรมการควบคุมการเรี่ยไรจังหวัดในทุกจังหวัด ยกเว้นกรุงเทพมหานคร เรียกโดยย่อว่า "กคร. จังหวัด" มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของ กคร. จังหวัด
1.7 กำหนดหลักเกณฑ์การเรี่ยไร
1.8 บทเฉพาะกาล
2. เห็นชอบให้ใช้ประกาศของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ได้ออกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรม จรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2543 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2543 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา แทนร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. …. ซึ่งประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 กำหนดห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลนอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ซึ่งเป็นการรับจากญาติที่ให้โดยเสน่หาตามฐานานุรูป หรือรับจากบุคคลอื่นมีมูลค่าไม่เกินสามพันบาท หรือรับจากการให้ในลักษณะให้กับบุคคลทั่วไป
2.2 กำหนดกรณีการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากต่างประเทศ ซึ่งผู้ให้มิได้ระบุให้เป็นของส่วนตัว หรือมีมูลค่าเกินกว่าสามพันบาท แต่จำเป็นต้องรับไว้เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ หากผู้บังคับบัญชาเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะให้ยึดถือไว้เป็นประโยชน์ส่วนบุคคล ให้ส่งมอบทรัพย์สินให้หน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นสังกัดโดยทันที
2.3 การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือมูลค่าตามที่ประกาศฉบับนี้กำหนด ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับมาแล้วโดยจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรับไว้เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดี ให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นแจ้งรายละเอียดต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานโดยทันที ในกรณีหัวหน้าหน่วยงานมีคำสั่งว่าไม่สมควรรับก็ให้คืนแก่ผู้ให้โดยทันที หากไม่สามารถคืนได้ให้ส่งมอบให้เป็นสิทธิของหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นสังกัด
2.4 กำหนดวิธีการปฏิบัติกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ได้รับทรัพย์สินไว้ตามข้อ 2.3 (ประกาศฯ ข้อ 7 วรรคหนึ่ง) เป็นผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ เช่น หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรรมการหรือผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจหรือของหน่วยงานของรัฐ ประธานกรรมการและกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น เป็นต้น
2.5 กำหนดให้ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้วไม่ถึงสองปีด้วย
ทั้งนี้ แม้ว่าร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าวจะเป็นเรื่องในลักษณะทำนองเดียวกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันในหลายประเด็น ซึ่งหากร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. …. มีผลใช้บังคับ นอกจากจะเป็นการซ้ำซ้อนและมีบางประเด็นที่ขัดแย้งกันกับประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว ยังจะเป็นผลให้เกิดปัญหาความยุ่งยากในการปฏิบัติอีกด้วย และโดยที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ๆ ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมในเรื่องนี้และมีความชัดเจนไว้แล้ว ดังนั้น เพื่อให้แนวทางปฏิบัติในการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความชัดเจนและเกิดสภาพบังคับอย่างจริงจัง รวมทั้งไม่เป็นการยุ่งยากในการปฏิบัติจึงเห็นควรให้ใช้ประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. แทนการจัดทำเป็นร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 12 ธ.ค. 2543--
-สส-
ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. …. และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. …. และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 ให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของทางราชการ พ.ศ. 2539
1.2 กำหนดบทลงโทษในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้โดยเคร่งครัด
1.3 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ" เรียกโดยย่อว่า "กคร." มีรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน
1.4 กำหนดการแต่งตั้ง การพ้นจากตำแหน่ง วาระการดำรงตำแหน่ง และอำนาจหน้าที่ของกรรมการ กคร.
1.5 ให้มีสำนักงานเลขานุการ กคร. ขึ้นในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ปฏิบัติงานธุรการและงานอื่นตามที่ กคร. มอบหมาย
1.6 ให้มีกรรมการควบคุมการเรี่ยไรจังหวัดในทุกจังหวัด ยกเว้นกรุงเทพมหานคร เรียกโดยย่อว่า "กคร. จังหวัด" มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของ กคร. จังหวัด
1.7 กำหนดหลักเกณฑ์การเรี่ยไร
1.8 บทเฉพาะกาล
2. เห็นชอบให้ใช้ประกาศของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ได้ออกประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรม จรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2543 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2543 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา แทนร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. …. ซึ่งประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 กำหนดห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลนอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ซึ่งเป็นการรับจากญาติที่ให้โดยเสน่หาตามฐานานุรูป หรือรับจากบุคคลอื่นมีมูลค่าไม่เกินสามพันบาท หรือรับจากการให้ในลักษณะให้กับบุคคลทั่วไป
2.2 กำหนดกรณีการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากต่างประเทศ ซึ่งผู้ให้มิได้ระบุให้เป็นของส่วนตัว หรือมีมูลค่าเกินกว่าสามพันบาท แต่จำเป็นต้องรับไว้เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ หากผู้บังคับบัญชาเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะให้ยึดถือไว้เป็นประโยชน์ส่วนบุคคล ให้ส่งมอบทรัพย์สินให้หน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นสังกัดโดยทันที
2.3 การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือมูลค่าตามที่ประกาศฉบับนี้กำหนด ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับมาแล้วโดยจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรับไว้เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดี ให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นแจ้งรายละเอียดต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงานโดยทันที ในกรณีหัวหน้าหน่วยงานมีคำสั่งว่าไม่สมควรรับก็ให้คืนแก่ผู้ให้โดยทันที หากไม่สามารถคืนได้ให้ส่งมอบให้เป็นสิทธิของหน่วยงานที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นสังกัด
2.4 กำหนดวิธีการปฏิบัติกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ได้รับทรัพย์สินไว้ตามข้อ 2.3 (ประกาศฯ ข้อ 7 วรรคหนึ่ง) เป็นผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ เช่น หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรรมการหรือผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจหรือของหน่วยงานของรัฐ ประธานกรรมการและกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น เป็นต้น
2.5 กำหนดให้ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้วไม่ถึงสองปีด้วย
ทั้งนี้ แม้ว่าร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าวจะเป็นเรื่องในลักษณะทำนองเดียวกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันในหลายประเด็น ซึ่งหากร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. …. มีผลใช้บังคับ นอกจากจะเป็นการซ้ำซ้อนและมีบางประเด็นที่ขัดแย้งกันกับประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว ยังจะเป็นผลให้เกิดปัญหาความยุ่งยากในการปฏิบัติอีกด้วย และโดยที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ๆ ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมในเรื่องนี้และมีความชัดเจนไว้แล้ว ดังนั้น เพื่อให้แนวทางปฏิบัติในการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความชัดเจนและเกิดสภาพบังคับอย่างจริงจัง รวมทั้งไม่เป็นการยุ่งยากในการปฏิบัติจึงเห็นควรให้ใช้ประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. แทนการจัดทำเป็นร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 12 ธ.ค. 2543--
-สส-