ทำเนียบรัฐบาล--27 มิ.ย.--นิวส์สแตนด์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบผลการประชุมประจำปีของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) ประจำปีสมัยที่ 56 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 1 - 7 มิถุนายน 2543 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ที่ประชุมได้มีฉันทามติเลือกนาย Kamal Kharrazi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านเป็นประธานการประชุมเอสแคปสมัยที่ 56 และในปีนี้ที่ประชุมเห็นชอบในการรับจอร์เจียเข้าเป็นสมาชิกใหม่ ซึ่งทำให้เอสแคปมีสมาชิก 52 ประเทศ และสมาชิกสมทบ 9 ประเทศ
2. หัวข้อหลักของการประชุมระดับรัฐมนตรี ได้แก่ Development through globalization and partnership in the twenty-first century : an Asia-Pacific perspective for integrating developing countries and economies in transition into the international trading system on a fair and equitable basis ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นพ้องถึงความสำคัญขององค์การการค้าโลก (WTO) ในการที่จะสร้างระบบการค้าระหว่างประเทศที่มีความเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน โดยคำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านในการประสมประสานเข้าในระบบการค้าระหว่างประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งที่ประชุมได้ขอให้เอสแคปส่งเสริมความร่วมมือในด้านการขนส่งในภูมิภาคนี้ต่อไป เพื่อให้ทุกประเทศได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าที่เป็นอยู่ในขณะนี้
3. ที่ประชุมยังได้เห็นถึงความสำคัญของการที่จะต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างทางการเงินระหว่างประเทศ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาจากที่มีการเปิดเสรีของตลาดทุนในประเทศกำลังพัฒนา ประจวบกับการขยายตัวของตลาดทุนระหว่างประเทศอย่างรวดเร็วซึ่งได้สร้างความผกผันให้กับประเทศเหล่านี้ เพราะมีการเก็งกำไรจากเงินทุนที่หมุนเวียนเข้าออกในระยะสั้น นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นของการที่จะต้องมีระบบการติดตามทางด้านเศรษฐกิจและการเงินอันเป็นระบบการเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อป้องกันมิให้เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมาอีกด้วย
4. นอกเหนือจากการอภิปรายแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและร่วมกันกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินงานให้สำนักเลขาธิการเอสแคปแล้ว ที่ประชุมยังได้รับรองข้อมติ (Resolution) รวม 5 ข้อด้วยกัน ได้แก่
4.1 Impending retirement of Mr.Adrianus Mooy, Executive Sccretary of the Commission (การเกษียณที่กำลังจะมาถึงของนายอาเดรียนัส มุย เลขาธิการบริหารเอสแคป) มีใจความสำคัญแสดงความชื่นชมผลงานของนายมุยในขณะที่ดำรงตำแหน่งนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
4.2 Regional cooperation on space applications for sustainable development in Asia and the Pacific (ความร่วมมือระดับภูมิภาคว่าด้วยการใช้ห้วงอวกาศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเอเชียและแปซิฟิก) มีใจความสำคัญรับรองข้อเสนอแนะของที่ประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ห้วงอวกาศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเอเชียและแปซิฟิกซึ่งจัดขึ้นที่กรุงนิวเดลีในเดือนพฤศจิกายน 2542 รวมทั้งรับรองปฏิญญาเดลี และแผนกลยุทธ์และแผนดำเนินงาน ซึ่งจัดทำโดยที่ประชุมดังกล่าว และเรียกร้องให้มีการอนุวัติข้อเสนอแนะปฏิญญาและแผนดังกล่าวโดยเร็ว
4.3 Promotion of a sustainable energy for small island States (การส่งเสริมการใช้พลังงานที่ยั่งยืนสำหรับประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็ก) มีสาระสำคัญขอให้เลขาธิการบริหารเอสแคปเอื้ออำนวยให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิกในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีกับพลังงานที่เกิดใหม่ได้ (renewable energy) สำหรับประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก
4.4 Advancing human resources development in Asia and the Pacific (การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก) มีสาระสำคัญเรียกร้องให้มีการปฏิบัติตาม "แผนปฏิบัติการจาการ์ตาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภูมิภาคเอสแคป" ตามที่มีการทบทวนในปี 2537 และร้องขอให้เลขาธิการบริหารเอสแคป ส่งเสริมกิจกรรมด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
4.5 Decade of Greater Mekong Subregion Development Cooperation, 2000 - 2009 (ทศวรรษแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 2543 - 2552) มีสาระสำคัญประกาศให้มีทศวรรษตามชื่อข้อมตินี้ และร้องให้เลขาธิการบริหารเอสแคประดมทรัพยากรและความช่วยเหลือให้กับการพัฒนาในอนุภูมิภาคนี้
5. คณะผู้แทนไทยได้เสนอร่างข้อมติ 2 เรื่องด้วยกัน คือ การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในเอเชียและแปซิฟิก และทศวรรษแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 2543 - 2552 การที่เสนอร่างแรกนั้น เป็นเพราะเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการพัฒนาโดยทั่วไป โดยเป็นที่เข้าใจว่าเอสแคปจะเน้นโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้กับกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเป็นลำดับแรก ส่วนร่างที่สองนั้น เป็นการเสนอเพื่อให้เอสแคปช่วยระดมการสนับสนุนจากแหล่งต่าง ๆ ให้กับการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และการจัดทำให้โครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายในอนุภูมิภาคนี้มีความเป็นเอกภาพและสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบร่างทั้งสองเป็นข้อมติของที่ประชุม ซึ่งภายใต้ข้อมติแรกสำนักเลขาธิการเอสแคปจะได้จัดทำโครงการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่อไป และสำหรับข้อมติว่าด้วยทศวรรษการพัฒนาอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงนั้น สำนักเลขาธิการเอสแคปจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council หรือ ECOSOC) ของสหประชาชาติพิจารณารับรองต่อไป
นอกจากนี้ ในระหว่างการประชุมได้มีการเลือกตั้งผู้สมัครจากประเทศสมาชิกเพื่อดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการผู้ประศาสน์การของสถาบันสถิติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (SIAP) และของศูนย์ความร่วมมือระดับภูมิภาค สำหรับการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชไร่และพืชส่วนชนิดเมล็ดรวง ฝัก ราก และหัว ในเขตร้อนของเอเชียและแปซิฟิก (CGPRT Centre) ซึ่งผู้สมัครของไทย 2 ราย คือ นายสือ ล้ออุทัย รองเลขาธิการสถิติ และนายอภิชัย การุณยวนิช เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการผู้ประศาสน์การขององค์กรทั้งสอง โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และ 3 ปี ตามลำดับ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 26 มิ.ย. 2543--
-ยก-
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบผลการประชุมประจำปีของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) ประจำปีสมัยที่ 56 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 1 - 7 มิถุนายน 2543 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ที่ประชุมได้มีฉันทามติเลือกนาย Kamal Kharrazi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านเป็นประธานการประชุมเอสแคปสมัยที่ 56 และในปีนี้ที่ประชุมเห็นชอบในการรับจอร์เจียเข้าเป็นสมาชิกใหม่ ซึ่งทำให้เอสแคปมีสมาชิก 52 ประเทศ และสมาชิกสมทบ 9 ประเทศ
2. หัวข้อหลักของการประชุมระดับรัฐมนตรี ได้แก่ Development through globalization and partnership in the twenty-first century : an Asia-Pacific perspective for integrating developing countries and economies in transition into the international trading system on a fair and equitable basis ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นพ้องถึงความสำคัญขององค์การการค้าโลก (WTO) ในการที่จะสร้างระบบการค้าระหว่างประเทศที่มีความเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน โดยคำนึงถึงปัญหาและอุปสรรคของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านในการประสมประสานเข้าในระบบการค้าระหว่างประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งที่ประชุมได้ขอให้เอสแคปส่งเสริมความร่วมมือในด้านการขนส่งในภูมิภาคนี้ต่อไป เพื่อให้ทุกประเทศได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าที่เป็นอยู่ในขณะนี้
3. ที่ประชุมยังได้เห็นถึงความสำคัญของการที่จะต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างทางการเงินระหว่างประเทศ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาจากที่มีการเปิดเสรีของตลาดทุนในประเทศกำลังพัฒนา ประจวบกับการขยายตัวของตลาดทุนระหว่างประเทศอย่างรวดเร็วซึ่งได้สร้างความผกผันให้กับประเทศเหล่านี้ เพราะมีการเก็งกำไรจากเงินทุนที่หมุนเวียนเข้าออกในระยะสั้น นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นของการที่จะต้องมีระบบการติดตามทางด้านเศรษฐกิจและการเงินอันเป็นระบบการเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อป้องกันมิให้เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมาอีกด้วย
4. นอกเหนือจากการอภิปรายแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและร่วมกันกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินงานให้สำนักเลขาธิการเอสแคปแล้ว ที่ประชุมยังได้รับรองข้อมติ (Resolution) รวม 5 ข้อด้วยกัน ได้แก่
4.1 Impending retirement of Mr.Adrianus Mooy, Executive Sccretary of the Commission (การเกษียณที่กำลังจะมาถึงของนายอาเดรียนัส มุย เลขาธิการบริหารเอสแคป) มีใจความสำคัญแสดงความชื่นชมผลงานของนายมุยในขณะที่ดำรงตำแหน่งนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
4.2 Regional cooperation on space applications for sustainable development in Asia and the Pacific (ความร่วมมือระดับภูมิภาคว่าด้วยการใช้ห้วงอวกาศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเอเชียและแปซิฟิก) มีใจความสำคัญรับรองข้อเสนอแนะของที่ประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ห้วงอวกาศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเอเชียและแปซิฟิกซึ่งจัดขึ้นที่กรุงนิวเดลีในเดือนพฤศจิกายน 2542 รวมทั้งรับรองปฏิญญาเดลี และแผนกลยุทธ์และแผนดำเนินงาน ซึ่งจัดทำโดยที่ประชุมดังกล่าว และเรียกร้องให้มีการอนุวัติข้อเสนอแนะปฏิญญาและแผนดังกล่าวโดยเร็ว
4.3 Promotion of a sustainable energy for small island States (การส่งเสริมการใช้พลังงานที่ยั่งยืนสำหรับประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็ก) มีสาระสำคัญขอให้เลขาธิการบริหารเอสแคปเอื้ออำนวยให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิกในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีกับพลังงานที่เกิดใหม่ได้ (renewable energy) สำหรับประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก
4.4 Advancing human resources development in Asia and the Pacific (การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก) มีสาระสำคัญเรียกร้องให้มีการปฏิบัติตาม "แผนปฏิบัติการจาการ์ตาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภูมิภาคเอสแคป" ตามที่มีการทบทวนในปี 2537 และร้องขอให้เลขาธิการบริหารเอสแคป ส่งเสริมกิจกรรมด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
4.5 Decade of Greater Mekong Subregion Development Cooperation, 2000 - 2009 (ทศวรรษแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 2543 - 2552) มีสาระสำคัญประกาศให้มีทศวรรษตามชื่อข้อมตินี้ และร้องให้เลขาธิการบริหารเอสแคประดมทรัพยากรและความช่วยเหลือให้กับการพัฒนาในอนุภูมิภาคนี้
5. คณะผู้แทนไทยได้เสนอร่างข้อมติ 2 เรื่องด้วยกัน คือ การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในเอเชียและแปซิฟิก และทศวรรษแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 2543 - 2552 การที่เสนอร่างแรกนั้น เป็นเพราะเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการพัฒนาโดยทั่วไป โดยเป็นที่เข้าใจว่าเอสแคปจะเน้นโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้กับกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเป็นลำดับแรก ส่วนร่างที่สองนั้น เป็นการเสนอเพื่อให้เอสแคปช่วยระดมการสนับสนุนจากแหล่งต่าง ๆ ให้กับการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และการจัดทำให้โครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายในอนุภูมิภาคนี้มีความเป็นเอกภาพและสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบร่างทั้งสองเป็นข้อมติของที่ประชุม ซึ่งภายใต้ข้อมติแรกสำนักเลขาธิการเอสแคปจะได้จัดทำโครงการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่อไป และสำหรับข้อมติว่าด้วยทศวรรษการพัฒนาอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงนั้น สำนักเลขาธิการเอสแคปจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council หรือ ECOSOC) ของสหประชาชาติพิจารณารับรองต่อไป
นอกจากนี้ ในระหว่างการประชุมได้มีการเลือกตั้งผู้สมัครจากประเทศสมาชิกเพื่อดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการผู้ประศาสน์การของสถาบันสถิติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (SIAP) และของศูนย์ความร่วมมือระดับภูมิภาค สำหรับการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชไร่และพืชส่วนชนิดเมล็ดรวง ฝัก ราก และหัว ในเขตร้อนของเอเชียและแปซิฟิก (CGPRT Centre) ซึ่งผู้สมัครของไทย 2 ราย คือ นายสือ ล้ออุทัย รองเลขาธิการสถิติ และนายอภิชัย การุณยวนิช เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการผู้ประศาสน์การขององค์กรทั้งสอง โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และ 3 ปี ตามลำดับ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 26 มิ.ย. 2543--
-ยก-