ทำเนียบรัฐบาล--7 มิ.ย.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการแปรรูปบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอแล้วมีมติเห็นชอบดังนี้
1. ให้รัฐวิสาหกิจซื้อหุ้นเพิ่มทุน บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) ดังนี้
- การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 10,000,000 หุ้น
- การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 800,000 หุ้น
- บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด 400,000 หุ้น
2. ให้กระทรวงการคลังซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 7,038,800 หุ้น (เป็นเงิน 7,038,800 X 12.50 = 87,985,000 บาท) ทั้งนี้เพื่อให้สัดส่วนของภาครัฐครบร้อยละ 30 ดังนั้น สัดส่วนผู้ร่วมทุนในภาครัฐจะเป็น ดังนี้
- กระทรวงการคลัง 18,800,000 หุ้น ร้อยละ 18.80
(หุ้นเดิม + หุ้นเพิ่มทุน = 11,761,200 + 7,038,800)
- การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 10,000,000 หุ้น ร้อยละ 10.00
- การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 800,000 หุ้น ร้อยละ 0.80
- บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด 400,000 หุ้น ร้อยละ 0.40 รวม 30,000,000 หุ้น ร้อยละ 30.00
สำหรับเงินค่าหุ้นในส่วนของกระทรวงการคลังดังกล่าว เนื่องจากกระทรวงการคลังจะได้รับเงินปันผลจากกำไรสะสมที่ บทด. จะจ่ายคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมร้อยละ 90 เป็นเงินประมาณ 111 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอกับจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังจะชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนใน บทด. โดยกระทรวงการคลังจะนำเงินปันผลดังกล่าวส่งเป็นรายได้แผ่นดิน และให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ บทด. ต่อไป
3. การเรียกชำระค่าหุ้น ให้มีการเรียกชำระเป็นคราว ๆ ตามแผนการลงทุนของ บทด.
ทั้งนี้ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบการจัดตั้งสายการเดินเรือทะเลแห่งชาติ ด้วยการปรับปรุงบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) โดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,400 ล้านบาท และให้ภาครัฐถือหุ้นส่วนน้อยและภาคเอกชนถือหุ้นส่วนใหญ่ เพื่อเป็นการแปรรูป บทด. ให้พ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาคเอกชนแสดงความสนใจเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บทด. โดยแยกเป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ 30% และภาคเอกชน 70% ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2543 มีผลสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนและระยะเวลาการจำหน่ายหุ้นของ บทด. ดังนี้
3.1 หุ้นในส่วนภาคเอกชนจำนวนร้อยละ 70 ดังนี้
1) ให้ บทด. ดำเนินการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยเร็ว เพื่อกำหนดการเพิ่มทุนและลงมติพิเศษ โดยใช้เวลาไม่เกิน 27 วัน นับจากวันประชุม
2) ให้สมาคมเจ้าของเรือไทย (สจท.) เสนอบัญชีรายชื่อผู้ร่วมทุนและสัดส่วนผู้ถือหุ้นแต่ละรายให้กระทรวงคมนาคมภายในวันที่ 12 มิถุนายน 2543 รวมทั้งในส่วนของภาครัฐ จำนวน 30% ก็ต้องเสนอบัญชีรายชื่อผู้ร่วมทุนและสัดส่วนผู้ถือหุ้นแต่ละรายในวันเดียวกันด้วย
3) ให้เรียกชำระเงินค่าหุ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในราคา 12.50 บาทต่อหุ้น ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน - 14 กรกฎาคม 2543
4) ให้ปิดบัญชีการรับชำระเงินค่าหุ้นในวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 ถ้าหากเรียกเก็บเงินชำระค่าหุ้นจาก สจท. ได้ไม่ถึง 70% ตามที่กำหนด กระทรวงคมนาคมจะพิจารณาหาภาคเอกชนผู้สนใจรายอื่นเข้ามาซื้อหุ้นในส่วนที่ขาด หรือซื้อหุ้นทั้งหมดถ้าหาก สจท. ไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนเลย
5) หลังจากวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือน หากไม่มีผู้สนใจซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้เตรียมดำเนินการยุบเลิก บทด.
3.2 หุ้นในส่วนของภาครัฐร้อยละ 30 จำนวน 30,000,000 หุ้น ขณะนี้มีหุ้นเดิมที่กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมถืออยู่จำนวน 11,761,200 หุ้น ภาครัฐจะต้องซื้อหุ้นเพิ่มทุนอีก จำนวน 18,238,800 หุ้น กระทรวงคมนาคมจึงได้เชิญหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ใช้บริการ บทด. ในการขนส่งสินค้าหรือประกอบกิจการเกี่ยวข้องกับ บทด. เพื่อเชิญชวนให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน บทด.ในส่วนของภาครัฐ ปรากฎว่ามีรัฐวิสาหกิจสนใจซื้อหุ้นเพิ่มทุน บทด. 3 ราย ดังนี้
- การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 10,000,000 หุ้น
- การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 800,000 หุ้น
- บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด 400,000 หุ้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจึงมีดำริว่า เพื่อให้การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติสำเร็จตามเป้าหมาย หุ้นเพิ่มทุนในส่วนของภาครัฐที่เหลือ ถ้าจำเป็นอาจจะต้องขอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ลงทุนในส่วนที่ขาด โดยจ่ายจากเงินกำไรสะสมที่ต้องจ่ายคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมร้อยละ 90 (เป็นเงินประมาณ 111 ล้านบาท)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 6 มิถุนายน 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการแปรรูปบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอแล้วมีมติเห็นชอบดังนี้
1. ให้รัฐวิสาหกิจซื้อหุ้นเพิ่มทุน บริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) ดังนี้
- การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 10,000,000 หุ้น
- การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 800,000 หุ้น
- บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด 400,000 หุ้น
2. ให้กระทรวงการคลังซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 7,038,800 หุ้น (เป็นเงิน 7,038,800 X 12.50 = 87,985,000 บาท) ทั้งนี้เพื่อให้สัดส่วนของภาครัฐครบร้อยละ 30 ดังนั้น สัดส่วนผู้ร่วมทุนในภาครัฐจะเป็น ดังนี้
- กระทรวงการคลัง 18,800,000 หุ้น ร้อยละ 18.80
(หุ้นเดิม + หุ้นเพิ่มทุน = 11,761,200 + 7,038,800)
- การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 10,000,000 หุ้น ร้อยละ 10.00
- การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 800,000 หุ้น ร้อยละ 0.80
- บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด 400,000 หุ้น ร้อยละ 0.40 รวม 30,000,000 หุ้น ร้อยละ 30.00
สำหรับเงินค่าหุ้นในส่วนของกระทรวงการคลังดังกล่าว เนื่องจากกระทรวงการคลังจะได้รับเงินปันผลจากกำไรสะสมที่ บทด. จะจ่ายคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมร้อยละ 90 เป็นเงินประมาณ 111 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอกับจำนวนเงินที่กระทรวงการคลังจะชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนใน บทด. โดยกระทรวงการคลังจะนำเงินปันผลดังกล่าวส่งเป็นรายได้แผ่นดิน และให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ บทด. ต่อไป
3. การเรียกชำระค่าหุ้น ให้มีการเรียกชำระเป็นคราว ๆ ตามแผนการลงทุนของ บทด.
ทั้งนี้ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบการจัดตั้งสายการเดินเรือทะเลแห่งชาติ ด้วยการปรับปรุงบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) โดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,400 ล้านบาท และให้ภาครัฐถือหุ้นส่วนน้อยและภาคเอกชนถือหุ้นส่วนใหญ่ เพื่อเป็นการแปรรูป บทด. ให้พ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาคเอกชนแสดงความสนใจเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บทด. โดยแยกเป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ 30% และภาคเอกชน 70% ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2543 มีผลสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนและระยะเวลาการจำหน่ายหุ้นของ บทด. ดังนี้
3.1 หุ้นในส่วนภาคเอกชนจำนวนร้อยละ 70 ดังนี้
1) ให้ บทด. ดำเนินการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยเร็ว เพื่อกำหนดการเพิ่มทุนและลงมติพิเศษ โดยใช้เวลาไม่เกิน 27 วัน นับจากวันประชุม
2) ให้สมาคมเจ้าของเรือไทย (สจท.) เสนอบัญชีรายชื่อผู้ร่วมทุนและสัดส่วนผู้ถือหุ้นแต่ละรายให้กระทรวงคมนาคมภายในวันที่ 12 มิถุนายน 2543 รวมทั้งในส่วนของภาครัฐ จำนวน 30% ก็ต้องเสนอบัญชีรายชื่อผู้ร่วมทุนและสัดส่วนผู้ถือหุ้นแต่ละรายในวันเดียวกันด้วย
3) ให้เรียกชำระเงินค่าหุ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในราคา 12.50 บาทต่อหุ้น ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน - 14 กรกฎาคม 2543
4) ให้ปิดบัญชีการรับชำระเงินค่าหุ้นในวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 ถ้าหากเรียกเก็บเงินชำระค่าหุ้นจาก สจท. ได้ไม่ถึง 70% ตามที่กำหนด กระทรวงคมนาคมจะพิจารณาหาภาคเอกชนผู้สนใจรายอื่นเข้ามาซื้อหุ้นในส่วนที่ขาด หรือซื้อหุ้นทั้งหมดถ้าหาก สจท. ไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนเลย
5) หลังจากวันที่ 14 กรกฎาคม 2543 เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือน หากไม่มีผู้สนใจซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้เตรียมดำเนินการยุบเลิก บทด.
3.2 หุ้นในส่วนของภาครัฐร้อยละ 30 จำนวน 30,000,000 หุ้น ขณะนี้มีหุ้นเดิมที่กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมถืออยู่จำนวน 11,761,200 หุ้น ภาครัฐจะต้องซื้อหุ้นเพิ่มทุนอีก จำนวน 18,238,800 หุ้น กระทรวงคมนาคมจึงได้เชิญหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ใช้บริการ บทด. ในการขนส่งสินค้าหรือประกอบกิจการเกี่ยวข้องกับ บทด. เพื่อเชิญชวนให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน บทด.ในส่วนของภาครัฐ ปรากฎว่ามีรัฐวิสาหกิจสนใจซื้อหุ้นเพิ่มทุน บทด. 3 ราย ดังนี้
- การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 10,000,000 หุ้น
- การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 800,000 หุ้น
- บริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด 400,000 หุ้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจึงมีดำริว่า เพื่อให้การจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติสำเร็จตามเป้าหมาย หุ้นเพิ่มทุนในส่วนของภาครัฐที่เหลือ ถ้าจำเป็นอาจจะต้องขอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ลงทุนในส่วนที่ขาด โดยจ่ายจากเงินกำไรสะสมที่ต้องจ่ายคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมร้อยละ 90 (เป็นเงินประมาณ 111 ล้านบาท)
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 6 มิถุนายน 2543--
-สส-