คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. …. ของกระทรวงศึกษาธิการ แล้วมีมติตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. …. และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 2 ที่เห็นควรให้เพิ่มบทเฉพาะกาลโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้รักษาการในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการจัดตั้งกระทรวงศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
สำหรับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
2) กำหนดให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหกเว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
3) ให้ผู้ปกครองส่งเด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด เข้าเรียนในสถานศึกษาจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
4) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งมีหน้าที่ตรวจสอบเด็กในเขตบริการของสถานศึกษา หากพบเด็กยังไม่ได้เข้าเรียนให้ดำเนินการให้เด็กได้เข้าเรียน
5) ให้สถานประกอบการที่มีเด็กในวัยการศึกษาภาคบังคับอาศัยอยู่ และยังไม่สำเร็จการศึกษาภาคบังคับ แจ้งให้สำนักงานฯ เขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบอย่างน้อยสามเดือนต่อครั้ง
6) กำหนดบทลงโทษผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้โดยมีเจตนาจำกัดสิทธิหรือขัดขวางไม่ให้เด็กเข้าเรียนโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และสถานประกอบการที่หน่วงเหนี่ยวกักขังหรือขัดขวางไม่ให้เด็กเข้ารับการศึกษา
2. ให้กระทรวงศึกษาธิการและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 2ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้
2.1 การที่กำหนดให้มีการศึกษาภาคบังคับจำนวนเก้าปี นั้น ทำให้มีจำนวนเด็กนักเรียนเพิ่มมากขึ้นควรเพิ่มอัตรากำลังครูให้สอดคล้องกันด้วย แต่เนื่องจากได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2537 ให้ส่วนราชการที่มีตำแหน่งข้าราชการเกษียณในแต่ละปียุบเลิกตำแหน่งแรกบรรจุหรือตำแหน่งอื่นตามที่เห็นสมควรเท่ากับจำนวนการเกษียณในแต่ละปี ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ สมควรสนับสนุนให้มีอัตรากำลังทดแทนด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องสัดส่วนอัตรากำลังครูต่อนักเรียนนั้น กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาในภาพรวม โดยอาจยุบรวมโรงเรียนที่ไม่มีความจำเป็นในบางแห่งเข้าด้วยกัน เพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพและมีอัตรากำลังครูที่เหมาะสม
2.2 สถานพินิจและคุ้มครองเด็กในสังกัดกระทรวงยุติธรรมมีเด็กอยู่ในความดูแลเป็นจำนวนมาก แต่บทบัญญัติของพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้ครอบคลุมไปถึง อีกทั้งในปัจจุบันสถานพินิจฯ ขาดแคลนวิทยากรผู้ชำนาญทางด้านจิตวิทยาเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นต้องมีนักจิตวิทยาดูแลและบำบัดสภาพจิตใจเด็กที่มีปัญหาสังคม ดังนั้น สำนักงานก.พ. ควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังให้มีนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ประจำสถานพินิจฯ เป็นกรณีพิเศษ
2.3 การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญาหรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือผู้ด้อยโอกาส ปัจจุบันโรงเรียนส่วนใหญ่มีอุปกรณ์สนับสนุนในการศึกษาไม่เพียงพอ เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้มีราคาสูงมาก ประกอบกับแต่ละโรงเรียนมีเด็กพิการหรือผู้ด้อยโอกาสจำนวนน้อย การจัดหาอุปกรณ์ให้ทุกโรงเรียนคงไม่คุ้มค่า ดังนั้น ควรจัดให้มีศูนย์การศึกษาพิเศษขึ้น และจัดอุปกรณ์ในด้านนี้ให้ครบถ้วน โดยให้ใช้เชื่อมโยงกันได้พร้อมทั้งจัดอบรมอาสาสมัคร ผู้ปกครองและครู รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 ก.ค.44--
-สส-
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. …. และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 2 ที่เห็นควรให้เพิ่มบทเฉพาะกาลโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้รักษาการในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการจัดตั้งกระทรวงศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
สำหรับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
2) กำหนดให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหกเว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
3) ให้ผู้ปกครองส่งเด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด เข้าเรียนในสถานศึกษาจนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
4) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งมีหน้าที่ตรวจสอบเด็กในเขตบริการของสถานศึกษา หากพบเด็กยังไม่ได้เข้าเรียนให้ดำเนินการให้เด็กได้เข้าเรียน
5) ให้สถานประกอบการที่มีเด็กในวัยการศึกษาภาคบังคับอาศัยอยู่ และยังไม่สำเร็จการศึกษาภาคบังคับ แจ้งให้สำนักงานฯ เขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบอย่างน้อยสามเดือนต่อครั้ง
6) กำหนดบทลงโทษผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้โดยมีเจตนาจำกัดสิทธิหรือขัดขวางไม่ให้เด็กเข้าเรียนโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และสถานประกอบการที่หน่วงเหนี่ยวกักขังหรือขัดขวางไม่ให้เด็กเข้ารับการศึกษา
2. ให้กระทรวงศึกษาธิการและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 2ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้
2.1 การที่กำหนดให้มีการศึกษาภาคบังคับจำนวนเก้าปี นั้น ทำให้มีจำนวนเด็กนักเรียนเพิ่มมากขึ้นควรเพิ่มอัตรากำลังครูให้สอดคล้องกันด้วย แต่เนื่องจากได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2537 ให้ส่วนราชการที่มีตำแหน่งข้าราชการเกษียณในแต่ละปียุบเลิกตำแหน่งแรกบรรจุหรือตำแหน่งอื่นตามที่เห็นสมควรเท่ากับจำนวนการเกษียณในแต่ละปี ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ สมควรสนับสนุนให้มีอัตรากำลังทดแทนด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องสัดส่วนอัตรากำลังครูต่อนักเรียนนั้น กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาในภาพรวม โดยอาจยุบรวมโรงเรียนที่ไม่มีความจำเป็นในบางแห่งเข้าด้วยกัน เพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพและมีอัตรากำลังครูที่เหมาะสม
2.2 สถานพินิจและคุ้มครองเด็กในสังกัดกระทรวงยุติธรรมมีเด็กอยู่ในความดูแลเป็นจำนวนมาก แต่บทบัญญัติของพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ได้ครอบคลุมไปถึง อีกทั้งในปัจจุบันสถานพินิจฯ ขาดแคลนวิทยากรผู้ชำนาญทางด้านจิตวิทยาเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นต้องมีนักจิตวิทยาดูแลและบำบัดสภาพจิตใจเด็กที่มีปัญหาสังคม ดังนั้น สำนักงานก.พ. ควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังให้มีนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ประจำสถานพินิจฯ เป็นกรณีพิเศษ
2.3 การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญาหรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพหรือผู้ด้อยโอกาส ปัจจุบันโรงเรียนส่วนใหญ่มีอุปกรณ์สนับสนุนในการศึกษาไม่เพียงพอ เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้มีราคาสูงมาก ประกอบกับแต่ละโรงเรียนมีเด็กพิการหรือผู้ด้อยโอกาสจำนวนน้อย การจัดหาอุปกรณ์ให้ทุกโรงเรียนคงไม่คุ้มค่า ดังนั้น ควรจัดให้มีศูนย์การศึกษาพิเศษขึ้น และจัดอุปกรณ์ในด้านนี้ให้ครบถ้วน โดยให้ใช้เชื่อมโยงกันได้พร้อมทั้งจัดอบรมอาสาสมัคร ผู้ปกครองและครู รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 ก.ค.44--
-สส-