ทำเนียบรัฐบาล--7 มิ.ย.--นิวส์สแตนด์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) รายงานผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2542 สรุปได้ดังนี้
1. รายได้ของครัวเรือนและแหล่งที่มาของรายได้ ในปี 2542 ครัวเรือนทั่วประเทศมีรายได้โดยเฉลี่ยประมาณเดือนละ 12,729 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นจากปี 2541 ร้อยละ 1.9 โดยมีแหล่งที่มาจากค่าแรงและเงินเดือนประมาณร้อยละ 42 กำไรจากการประกอบธุรกิจนอกภาคเกษตรประมาณร้อยละ 19 กำไรจากการประกอบธุรกิจภาคเกษตรประมาณร้อยละ 9 และมาจากแหล่งรายได้อื่น ๆ ประมาณร้อยละ 30 และเมื่อพิจารณาเป็นรายภาคพบว่า
1) ครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ มีรายได้เฉลี่ย 26,742บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3
2) ครัวเรือนภาคกลางและภาคเหนือ มีรายได้เฉลี่ย 12,786 และ 10,253 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 และ 4.8 ตามลำดับ
3) ขณะที่ครัวเรือนในภาคตะวันออกเฉียงหนือและภาคใต้มีรายได้เฉลี่ย 8,138 และ 10,953 บาทต่อเดือน ลดลงร้อยละ 4.8 และ 4.4 ตามลำดับ
2. ค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและประเภทของค่าใช้จ่าย ครัวเรือนทั่วประเทศมีรายจ่ายโดยเฉลี่ยประมาณเดือนละ 10,238 บาทต่อครัวเรือน ลดลงจากปี 2541 ร้อยละ 1.5 โดยมีสัดส่วนของรายจ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มประมาณร้อยละ 36 รองลงมาเป็นหมวดที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ในบ้าน และหมวดยานพาหนะและค่าบริการสื่อสารประมาณร้อยละ 22 และ 14 ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาเป็นรายภาคพบว่า
1) ครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ และภาคเหนือมีรายจ่ายเฉลี่ย 20,284 และ 8,388 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 และร้อยละ 2.2 ตามลำดับ
2) ขณะที่ครัวเรือนในภาคกลาง มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนเท่ากับ 10,266 บาท ลดลงร้อยละ 5.5ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เท่ากับ 6,988 บาท ลดลงร้อยละ 3.4 และภาคใต้มีรายจ่ายเฉลี่ย 8,997 บาทต่อเดือน ลดลงร้อยละ 7.0
3. รายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สินของครัวเรือน
1) ครัวเรือนทุกภาคของประเทศมีรายได้โดยเฉลี่ยสูงกว่ารายจ่าย (รายจ่ายในที่นี้ไม่รวมรายจ่ายที่เป็นการสะสมทุน เช่น การผ่อนชำระค่าซื้อบ้านและที่ดิน การซื้อทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ) ทั้งนี้ครัวเรือนในภาคต่าง ๆ มีสัดส่วนของรายจ่ายต่อรายได้อยู่ระหว่างร้อยละ 75.9 - 85.9 ของรายได้ของครัวเรือนในแต่ละภาค (ครัวเรือนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนสูงที่สุด ขณะที่ครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการมีสัดส่วนต่ำที่สุด)
2) สำหรับเรื่องหนี้สิน จำนวนหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนที่มีหนี้คิดเป็น 124,330 บาท สูงกว่าปี 2541ร้อยละ 0.9 โดยครัวเรือนในภาคเหนือมีหนี้สินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับปี 2541 ในอัตราร้อยละถึง 17.6 รองลงมาเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ในอัตราร้อยละ 9.6 และ 2.2 ตามลำดับ ขณะที่หนี้สินของครัวเรือนในกรุงเทพ-มหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ และภาคกลาง ลดลงในอัตราร้อยละ 1.4 และ 5.9 ตามลำดับ
4. การกระจายรายได้ของครัวเรือน
1) ในการศึกษาการกระจายรายได้ของครัวเรือนนั้น ได้จัดเรียงลำดับครัวเรือนตามรายได้ประจำต่อคนต่อเดือนจากน้อยไปหามาก แล้วจึงแบ่งครัวเรือนออกเป็น 5 กลุ่มเท่า ๆ กัน (กลุ่มละ 20%) ครัวเรือนกลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่จนที่สุด ครัวเรือนกลุ่มที่ 5 เป็นกลุ่มที่รวยที่สุด พบว่า ในปี 2542 ครัวเรือนกลุ่มที่ 1 มีส่วนแบ่งของรายได้ประจำเพียงร้อยละ 5.3 ของรายได้ประจำของครัวเรือนทั้งสิ้นทั่วประเทศ ในขณะที่ครัวเรือนกลุ่มที่ 5 มีส่วนแบ่งของรายได้ประจำถึงร้อยละ 51.6 หรือคิดเป็น 9.7 เท่าของรายได้ของครัวเรือนกลุ่มที่ 1 เมื่อพิจารณาความแตกต่างของรายได้ของครัวเรือนทั้งสองกลุ่มดังกล่าว ในช่วงปี 2535 - 2541 พบว่า ความแตกต่างได้ลดลงตามลำดับ จาก 9.6 เท่าในปี 2535 เป็น 8.4 เท่าในปี 2541 แต่กลับเพิ่มสูงขึ้นอีกในปี 2542 เป็น 9.7 เท่า
2) หากวิเคราะห์การกระจายรายได้ของครัวเรือนในช่วงระหว่างปี 2535 - 2542 โดยพิจารณาจากสัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient)* พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ดังกล่าวมีค่าลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 0.445 ในปี 2535 เป็น 0.421 ในปี 2541 แสดงว่า การกระจายรายได้ของครัวเรือนมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าสัมประสิทธิ์ดังกล่าวกลับเพิ่มสูงขึ้นเป็น 0.444 ในปี 2542 แสดงให้เห็นว่ามีความไม่เท่าเทียมกันของการกระจายรายได้ของครัวเรือนมากขึ้นจากปี 2542
(*สัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient) แสดงถึง การกระจายของรายได้ โดยมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 หากค่านี้เท่ากับ 0 แสดงว่าทุกคนมีรายได้เท่าเทียมกัน และหากค่านี้เข้าใกล้ 1 แสดงว่ามีความไม่เท่าเทียมกันของการกระจายรายได้มากขึ้น)
3) เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคพบว่า ในปี 2542 ครัวเรือนในภาคกลางมีการกระจายรายได้ดีกว่าครัวเรือนในภาคอื่น กล่าวคือ มีค่าสัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาคต่ำที่สุด คือ 0.364 ถัดไปคือ ภาคใต้ (0.366)กรุงเทพมหานคร และ 3 จังหวัดรอบกรุงเทพมหานคร (0.382) สำหรับครัวเรือนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้มากกว่าภาคอื่น ๆ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาค เท่ากับ0.404 เท่ากันทั้งสองภาค
5. ความยากจน
1) ผลจากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับภาวะความยากจนของประชากรไทย โดยใช้ข้อมูลโครงการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พบว่าจากเส้นความยากจน* ในปี 2541 โดยเฉลี่ยประมาณ 911 บาทต่อคนต่อเดือนนั้น จะมีจำนวนประชากรซึ่งจัดว่ายากจน เนื่องจากมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน ประมาณ 7.9 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 12.9 ของประชากรทั้งประเทศ
(*เส้นความยากจน หมายถึง ระดับรายได้ที่เพียงพอสำหรับสนองความต้องการขั้นต่ำในการบริโภคสารอาหารและสินค้า/บริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ)
2) ในช่วงปี 2531 - 2539 จำนวนคนจน และสัดส่วนคนจนมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ จากจำนวน17.9 ล้านคนหรือร้อยละ 32.6 ของประชากรทั้งสิ้น ในปี 2531 เป็น 6.8 ล้านคนหรือร้อยละ 11.4 ในปี 2539 แต่หลังจากนั้นในปี 2541 จำนวนและสัดส่วนคนจนได้เพิ่มขึ้นเป็น 7.9 ล้านคนหรือร้อยละ 12.9 ของประชากรทั้งสิ้น
3) พื้นที่ที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และแม้ว่าสัดส่วนของคนจนในภาคนี้ได้ลดลงตามลำดับ ในช่วงปี 2531 - 2539 เช่นเดียวกับภาคอื่น แต่สัดส่วนของคนจนในภาคนี้ รวมทั้งในภาคใต้และภาคกลางได้เพิ่มขึ้นในปี 2541 ในขณะที่สัดส่วนของคนจนในภาคเหนือมีแนวโน้มลดลง ส่วนกรุงเทพมหานคร และ 3 จังหวัดรอบกรุงเทพมหานครนั้น สัดส่วนของคนจนในปี 2541 ยังอยู่ในระดับเดียวกับปี 2539
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 5 มิถุนายน 2543--
-สส-
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) รายงานผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2542 สรุปได้ดังนี้
1. รายได้ของครัวเรือนและแหล่งที่มาของรายได้ ในปี 2542 ครัวเรือนทั่วประเทศมีรายได้โดยเฉลี่ยประมาณเดือนละ 12,729 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นจากปี 2541 ร้อยละ 1.9 โดยมีแหล่งที่มาจากค่าแรงและเงินเดือนประมาณร้อยละ 42 กำไรจากการประกอบธุรกิจนอกภาคเกษตรประมาณร้อยละ 19 กำไรจากการประกอบธุรกิจภาคเกษตรประมาณร้อยละ 9 และมาจากแหล่งรายได้อื่น ๆ ประมาณร้อยละ 30 และเมื่อพิจารณาเป็นรายภาคพบว่า
1) ครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ มีรายได้เฉลี่ย 26,742บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3
2) ครัวเรือนภาคกลางและภาคเหนือ มีรายได้เฉลี่ย 12,786 และ 10,253 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 และ 4.8 ตามลำดับ
3) ขณะที่ครัวเรือนในภาคตะวันออกเฉียงหนือและภาคใต้มีรายได้เฉลี่ย 8,138 และ 10,953 บาทต่อเดือน ลดลงร้อยละ 4.8 และ 4.4 ตามลำดับ
2. ค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและประเภทของค่าใช้จ่าย ครัวเรือนทั่วประเทศมีรายจ่ายโดยเฉลี่ยประมาณเดือนละ 10,238 บาทต่อครัวเรือน ลดลงจากปี 2541 ร้อยละ 1.5 โดยมีสัดส่วนของรายจ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มประมาณร้อยละ 36 รองลงมาเป็นหมวดที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ในบ้าน และหมวดยานพาหนะและค่าบริการสื่อสารประมาณร้อยละ 22 และ 14 ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาเป็นรายภาคพบว่า
1) ครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ และภาคเหนือมีรายจ่ายเฉลี่ย 20,284 และ 8,388 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 และร้อยละ 2.2 ตามลำดับ
2) ขณะที่ครัวเรือนในภาคกลาง มีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนเท่ากับ 10,266 บาท ลดลงร้อยละ 5.5ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เท่ากับ 6,988 บาท ลดลงร้อยละ 3.4 และภาคใต้มีรายจ่ายเฉลี่ย 8,997 บาทต่อเดือน ลดลงร้อยละ 7.0
3. รายได้ ค่าใช้จ่าย และหนี้สินของครัวเรือน
1) ครัวเรือนทุกภาคของประเทศมีรายได้โดยเฉลี่ยสูงกว่ารายจ่าย (รายจ่ายในที่นี้ไม่รวมรายจ่ายที่เป็นการสะสมทุน เช่น การผ่อนชำระค่าซื้อบ้านและที่ดิน การซื้อทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ) ทั้งนี้ครัวเรือนในภาคต่าง ๆ มีสัดส่วนของรายจ่ายต่อรายได้อยู่ระหว่างร้อยละ 75.9 - 85.9 ของรายได้ของครัวเรือนในแต่ละภาค (ครัวเรือนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนสูงที่สุด ขณะที่ครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการมีสัดส่วนต่ำที่สุด)
2) สำหรับเรื่องหนี้สิน จำนวนหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนที่มีหนี้คิดเป็น 124,330 บาท สูงกว่าปี 2541ร้อยละ 0.9 โดยครัวเรือนในภาคเหนือมีหนี้สินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับปี 2541 ในอัตราร้อยละถึง 17.6 รองลงมาเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ในอัตราร้อยละ 9.6 และ 2.2 ตามลำดับ ขณะที่หนี้สินของครัวเรือนในกรุงเทพ-มหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ และภาคกลาง ลดลงในอัตราร้อยละ 1.4 และ 5.9 ตามลำดับ
4. การกระจายรายได้ของครัวเรือน
1) ในการศึกษาการกระจายรายได้ของครัวเรือนนั้น ได้จัดเรียงลำดับครัวเรือนตามรายได้ประจำต่อคนต่อเดือนจากน้อยไปหามาก แล้วจึงแบ่งครัวเรือนออกเป็น 5 กลุ่มเท่า ๆ กัน (กลุ่มละ 20%) ครัวเรือนกลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่จนที่สุด ครัวเรือนกลุ่มที่ 5 เป็นกลุ่มที่รวยที่สุด พบว่า ในปี 2542 ครัวเรือนกลุ่มที่ 1 มีส่วนแบ่งของรายได้ประจำเพียงร้อยละ 5.3 ของรายได้ประจำของครัวเรือนทั้งสิ้นทั่วประเทศ ในขณะที่ครัวเรือนกลุ่มที่ 5 มีส่วนแบ่งของรายได้ประจำถึงร้อยละ 51.6 หรือคิดเป็น 9.7 เท่าของรายได้ของครัวเรือนกลุ่มที่ 1 เมื่อพิจารณาความแตกต่างของรายได้ของครัวเรือนทั้งสองกลุ่มดังกล่าว ในช่วงปี 2535 - 2541 พบว่า ความแตกต่างได้ลดลงตามลำดับ จาก 9.6 เท่าในปี 2535 เป็น 8.4 เท่าในปี 2541 แต่กลับเพิ่มสูงขึ้นอีกในปี 2542 เป็น 9.7 เท่า
2) หากวิเคราะห์การกระจายรายได้ของครัวเรือนในช่วงระหว่างปี 2535 - 2542 โดยพิจารณาจากสัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient)* พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ดังกล่าวมีค่าลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 0.445 ในปี 2535 เป็น 0.421 ในปี 2541 แสดงว่า การกระจายรายได้ของครัวเรือนมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าสัมประสิทธิ์ดังกล่าวกลับเพิ่มสูงขึ้นเป็น 0.444 ในปี 2542 แสดงให้เห็นว่ามีความไม่เท่าเทียมกันของการกระจายรายได้ของครัวเรือนมากขึ้นจากปี 2542
(*สัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient) แสดงถึง การกระจายของรายได้ โดยมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 หากค่านี้เท่ากับ 0 แสดงว่าทุกคนมีรายได้เท่าเทียมกัน และหากค่านี้เข้าใกล้ 1 แสดงว่ามีความไม่เท่าเทียมกันของการกระจายรายได้มากขึ้น)
3) เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคพบว่า ในปี 2542 ครัวเรือนในภาคกลางมีการกระจายรายได้ดีกว่าครัวเรือนในภาคอื่น กล่าวคือ มีค่าสัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาคต่ำที่สุด คือ 0.364 ถัดไปคือ ภาคใต้ (0.366)กรุงเทพมหานคร และ 3 จังหวัดรอบกรุงเทพมหานคร (0.382) สำหรับครัวเรือนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้มากกว่าภาคอื่น ๆ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาค เท่ากับ0.404 เท่ากันทั้งสองภาค
5. ความยากจน
1) ผลจากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับภาวะความยากจนของประชากรไทย โดยใช้ข้อมูลโครงการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พบว่าจากเส้นความยากจน* ในปี 2541 โดยเฉลี่ยประมาณ 911 บาทต่อคนต่อเดือนนั้น จะมีจำนวนประชากรซึ่งจัดว่ายากจน เนื่องจากมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน ประมาณ 7.9 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 12.9 ของประชากรทั้งประเทศ
(*เส้นความยากจน หมายถึง ระดับรายได้ที่เพียงพอสำหรับสนองความต้องการขั้นต่ำในการบริโภคสารอาหารและสินค้า/บริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ)
2) ในช่วงปี 2531 - 2539 จำนวนคนจน และสัดส่วนคนจนมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ จากจำนวน17.9 ล้านคนหรือร้อยละ 32.6 ของประชากรทั้งสิ้น ในปี 2531 เป็น 6.8 ล้านคนหรือร้อยละ 11.4 ในปี 2539 แต่หลังจากนั้นในปี 2541 จำนวนและสัดส่วนคนจนได้เพิ่มขึ้นเป็น 7.9 ล้านคนหรือร้อยละ 12.9 ของประชากรทั้งสิ้น
3) พื้นที่ที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และแม้ว่าสัดส่วนของคนจนในภาคนี้ได้ลดลงตามลำดับ ในช่วงปี 2531 - 2539 เช่นเดียวกับภาคอื่น แต่สัดส่วนของคนจนในภาคนี้ รวมทั้งในภาคใต้และภาคกลางได้เพิ่มขึ้นในปี 2541 ในขณะที่สัดส่วนของคนจนในภาคเหนือมีแนวโน้มลดลง ส่วนกรุงเทพมหานคร และ 3 จังหวัดรอบกรุงเทพมหานครนั้น สัดส่วนของคนจนในปี 2541 ยังอยู่ในระดับเดียวกับปี 2539
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 5 มิถุนายน 2543--
-สส-