คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการศึกษาสินค้านำเข้าของไทย และแนวทางการดำเนินมาตรการลดการนำเข้า ของคณะทำงานศึกษาสินค้านำเข้าของไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ภาวะการนำเข้า
1.1 การนำเข้ามีมูลค่าลดลงอย่างมากในปี 2540 - 2541 และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปี 2542 -2543 ทำให้มูลค่านำเข้ามีแนวโน้มสูงขึ้นเป็น 62,181 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2543 และในระยะ 3 เดือนแรกของปี 2544 มีมูลค่านำเข้า 16,528 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.1
1.2 โครงสร้างสินค้านำเข้า ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนร้อยละ 49.2 ในปี 2544 (มกราคม - มีนาคม)รองลงมาได้แก่ สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปร้อยละ 27.8 สินค้าเชื้อเพลิงร้อยละ 11.8 สินค้าอุปโภคบริโภคร้อยละ 7.6ยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งร้อยละ 3.0 และอื่น ๆ ร้อยละ 0.6
1.3 แนวโน้มการนำเข้าสินค้าของไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ในปี 2541 สินค้านำเข้าลดลงทุกหมวดทั้งสินค้าทุน วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เชื้อเพลิง อุปโภคบริโภค ยานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่ง และอื่น ๆ และขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2542 - 2543 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การนำเข้าสินค้าหมวดทุนและวัตถุดิบจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกับการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
2. การพิจารณาสินค้านำเข้าแต่ละรายการ สามารถจำแนกสินค้าที่มีการนำเข้าตามเหตุผลและความจำเป็นได้ ดังนี้
2.1 สินค้าที่ขณะนี้มีความจำเป็นต้องนำเข้า
- สินค้าทุน เนื่องจากความสามารถของการผลิตในประเทศยังมีจำกัด หรือผลิตได้แต่คุณภาพไม่ตรงความต้องการใช้ หรือนำเข้าตามแผนการตลาดของบริษัทแม่
- สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เนื่องจากบางชนิดขาดแคลน หรือผู้รับจ้างผลิตมีเงื่อนไขต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนด
- สินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากไม่สามารถผลิตในประเทศ และต้องใช้เทคโนโลยีสูง
- ชิ้นส่วนรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์บางชนิดที่ใช้เทคโนโลยีสูงไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ
สินค้าเหล่านี้ในระยะสั้นยังไม่สามารถลดการนำเข้าได้ แต่ในระยะยาวควรศึกษาศักยภาพในการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และให้การส่งเสริมสินค้าที่มีศักยภาพอย่างจริงจัง
2.2 สินค้านำเข้าที่เป็นสินค้าที่มีการผลิตในประเทศ จะต้องรณรงค์และประชาสัมพันธ์สินค้าไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลูกฝังค่านิยมการใช้สินค้าไทย
2.3 สินค้าอุปโภคบริโภคที่สามารถผลิตได้ในประเทศ ควรส่งเสริมการผลิตภายในประเทศในเชิงพาณิชย์เพื่อทดแทนการนำเข้า
2.4 สินค้าฟุ่มเฟือย ควรรณรงค์ปลูกฝังจิตสำนึกและสร้างค่านิยมการใช้สินค้าไทยเพื่อลดการนำเข้า
3. ผลการพิจารณา
3.1 มาตรการลดการนำเข้า
1) สนับสนุนการใช้สินค้าทุน วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปภายในประเทศ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และให้มีกลไกเชื่อมโยงการผลิตภายในประเทศแบบครบวงจร
2) ประหยัดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ควรรณรงค์ให้มีการประหยัดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง
3) รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ใช้สินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าฟุ่มเฟือย
ทั้งนี้ ในภาพรวมสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นแกนกลางประสานการจัดทำแผนหลักตามนโยบายรณรงค์ให้ใช้สินค้าไทยเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างจริงจังและต่อเนื่องอยู่แล้ว
3.2 การลดการนำเข้าเพื่อมิให้มีการสต๊อกวัตถุดิบในการผลิตมากเกินไป และการลดระยะเวลาให้มีผลตอบแทนในระยะสั้นของสินค้าทุนนั้น พบว่าสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ภาคธุรกิจได้มีการบริหารสินค้าคงคลังโดยวิธีการ just in time และได้มีการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับการใช้กำลังการผลิตสูงสุดของเครื่องจักรอยู่ด้วยแล้ว จึงยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใดเพิ่มเติมในขณะนี้
3.3 การดำเนินมาตรการเพิ่มจากที่ดำเนินการอยู่แล้วในส่วนของกระทรวงพาณิชย์
1) ส่งเสริมให้บริษัทต่างประเทศเข้ามาจัดตั้ง Purchasing Office ในไทยเพื่อซื้อสินค้าไทยส่งไปขายในประเทศตนหรือตลาดอื่น โดยการอำนวยความสะดวกและให้สิ่งจูงใจด้านต่าง ๆ และเพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยอีกทางหนึ่ง
2) การประชาสัมพันธ์ส่งเสริมนิยมสินค้าไทย จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมสินค้ากว้างขึ้น โดยจัดงานแสดงสินค้าของภูมิภาคต่าง ๆ หรือเป็นรายสินค้า ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการผลิตในท้องถิ่นและให้ผู้ผลิตในท้องถิ่นเข้าร่วมงานสินค้าได้โดยตรง
3) การสร้างค่านิยมสินค้าไทยโดยให้การส่งเสริมพัฒนารูปแบบสินค้าไทยให้มีความหลากหลายรวมทั้งบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุภายในประเทศให้ทันสมัยได้มาตรฐานทัดเทียมกับของต่างประเทศ และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
4) ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทย
ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้กรมที่เกี่ยวข้องดำเนินการแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 ก.ค.44--
-สส-
1. ภาวะการนำเข้า
1.1 การนำเข้ามีมูลค่าลดลงอย่างมากในปี 2540 - 2541 และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปี 2542 -2543 ทำให้มูลค่านำเข้ามีแนวโน้มสูงขึ้นเป็น 62,181 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2543 และในระยะ 3 เดือนแรกของปี 2544 มีมูลค่านำเข้า 16,528 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.1
1.2 โครงสร้างสินค้านำเข้า ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนร้อยละ 49.2 ในปี 2544 (มกราคม - มีนาคม)รองลงมาได้แก่ สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปร้อยละ 27.8 สินค้าเชื้อเพลิงร้อยละ 11.8 สินค้าอุปโภคบริโภคร้อยละ 7.6ยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งร้อยละ 3.0 และอื่น ๆ ร้อยละ 0.6
1.3 แนวโน้มการนำเข้าสินค้าของไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ในปี 2541 สินค้านำเข้าลดลงทุกหมวดทั้งสินค้าทุน วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เชื้อเพลิง อุปโภคบริโภค ยานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่ง และอื่น ๆ และขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี 2542 - 2543 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การนำเข้าสินค้าหมวดทุนและวัตถุดิบจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกับการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
2. การพิจารณาสินค้านำเข้าแต่ละรายการ สามารถจำแนกสินค้าที่มีการนำเข้าตามเหตุผลและความจำเป็นได้ ดังนี้
2.1 สินค้าที่ขณะนี้มีความจำเป็นต้องนำเข้า
- สินค้าทุน เนื่องจากความสามารถของการผลิตในประเทศยังมีจำกัด หรือผลิตได้แต่คุณภาพไม่ตรงความต้องการใช้ หรือนำเข้าตามแผนการตลาดของบริษัทแม่
- สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เนื่องจากบางชนิดขาดแคลน หรือผู้รับจ้างผลิตมีเงื่อนไขต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศตามที่ผู้ว่าจ้างกำหนด
- สินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากไม่สามารถผลิตในประเทศ และต้องใช้เทคโนโลยีสูง
- ชิ้นส่วนรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์บางชนิดที่ใช้เทคโนโลยีสูงไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ
สินค้าเหล่านี้ในระยะสั้นยังไม่สามารถลดการนำเข้าได้ แต่ในระยะยาวควรศึกษาศักยภาพในการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และให้การส่งเสริมสินค้าที่มีศักยภาพอย่างจริงจัง
2.2 สินค้านำเข้าที่เป็นสินค้าที่มีการผลิตในประเทศ จะต้องรณรงค์และประชาสัมพันธ์สินค้าไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลูกฝังค่านิยมการใช้สินค้าไทย
2.3 สินค้าอุปโภคบริโภคที่สามารถผลิตได้ในประเทศ ควรส่งเสริมการผลิตภายในประเทศในเชิงพาณิชย์เพื่อทดแทนการนำเข้า
2.4 สินค้าฟุ่มเฟือย ควรรณรงค์ปลูกฝังจิตสำนึกและสร้างค่านิยมการใช้สินค้าไทยเพื่อลดการนำเข้า
3. ผลการพิจารณา
3.1 มาตรการลดการนำเข้า
1) สนับสนุนการใช้สินค้าทุน วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปภายในประเทศ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และให้มีกลไกเชื่อมโยงการผลิตภายในประเทศแบบครบวงจร
2) ประหยัดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ควรรณรงค์ให้มีการประหยัดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง
3) รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ใช้สินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าฟุ่มเฟือย
ทั้งนี้ ในภาพรวมสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นแกนกลางประสานการจัดทำแผนหลักตามนโยบายรณรงค์ให้ใช้สินค้าไทยเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างจริงจังและต่อเนื่องอยู่แล้ว
3.2 การลดการนำเข้าเพื่อมิให้มีการสต๊อกวัตถุดิบในการผลิตมากเกินไป และการลดระยะเวลาให้มีผลตอบแทนในระยะสั้นของสินค้าทุนนั้น พบว่าสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ภาคธุรกิจได้มีการบริหารสินค้าคงคลังโดยวิธีการ just in time และได้มีการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับการใช้กำลังการผลิตสูงสุดของเครื่องจักรอยู่ด้วยแล้ว จึงยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใดเพิ่มเติมในขณะนี้
3.3 การดำเนินมาตรการเพิ่มจากที่ดำเนินการอยู่แล้วในส่วนของกระทรวงพาณิชย์
1) ส่งเสริมให้บริษัทต่างประเทศเข้ามาจัดตั้ง Purchasing Office ในไทยเพื่อซื้อสินค้าไทยส่งไปขายในประเทศตนหรือตลาดอื่น โดยการอำนวยความสะดวกและให้สิ่งจูงใจด้านต่าง ๆ และเพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยอีกทางหนึ่ง
2) การประชาสัมพันธ์ส่งเสริมนิยมสินค้าไทย จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมสินค้ากว้างขึ้น โดยจัดงานแสดงสินค้าของภูมิภาคต่าง ๆ หรือเป็นรายสินค้า ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการผลิตในท้องถิ่นและให้ผู้ผลิตในท้องถิ่นเข้าร่วมงานสินค้าได้โดยตรง
3) การสร้างค่านิยมสินค้าไทยโดยให้การส่งเสริมพัฒนารูปแบบสินค้าไทยให้มีความหลากหลายรวมทั้งบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุภายในประเทศให้ทันสมัยได้มาตรฐานทัดเทียมกับของต่างประเทศ และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
4) ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทย
ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้กรมที่เกี่ยวข้องดำเนินการแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 24 ก.ค.44--
-สส-